เรื่องควรรู้ เกี่ยวกับดอกไม้
อกจากเรื่องของการจัดดอกไม้ให้กับสถานที่จัดงานแล้ว อีกจุดสำคัญที่ทางนักจัดดอกไม้จำเป็นต้องเตรียมให้ด้วยก็คือ "ดอกไม้ติดหน้าอก" และ "ช่อดอกไม้ถือ"
สำหรับ "ดอกไม้ติดหน้าอก" หรือที่เรียกว่า Boutonniere หรือ Corsage จะใช้ติดให้กับประธานและคุณพ่อคุณแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าว-เจ้าสาว โดยทั่วไปจะมีไม่เกิน 6-8 ช่อ การติดดอกไม้ที่อกเสื้อนั้น นอกจากจะเป็นการให้เกียรติประธานในพิธีแล้ว ยังใช้เป็นสัญลักษณ์ให้พิธีกรบนเวทีเชิญประธานขึ้นกล่าวอวยพรให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวไม่ผิดคน ด้านคุณพ่อคุณแม่เจ้าสาวก็เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานได้เข้ามาทักทายสวัสดี กันอย่างไม่ผิดคนด้วยเช่นกัน
ส่วน "ช่อดอกไม้ถือ" หรือ Flower Bouquet จะใช้สำหรับเจ้าสาวที่เข้าพิธีแบบคริสต์ แต่ถ้าเป็นเจ้าสาวที่ทำพิธีแบบไทยพุทธแล้ว การใช้ดอกไม้ถือก็เพียงเพื่อสำหรับถือถ่ายภาพหน้างาน หรือถ้าสลับให้เจ้าบ่าวถือบ้างก็น่ารักทีเดียว นอกจากนี้ธรรมเนียมยอดฮิตในการให้ประโยชน์จาก Flower Bouquet อีกอย่างก็คือ การโยนช่อดอกไม้ เพื่อเสี่ยงทายว่าใครจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป
ในการถือช่อดอกไม้ของเจ้าสาว ใช่ว่าจะเป็นช่อสวยมีสีสันโดนใจแล้วจะดูดีเข้ากับชุดเจ้าสาวเสมอไปนะคะ แต่การเลือกช่อดอกไม้ที่เข้ากับชุดเจ้าสาว จะช่วยเสริมให้เจ้าสาวดูเด่นมากยิ่งขึ้นมากกว่า ซึ่งในการเลือกทุกครั้งเจ้าสาวควรคำนึงชุดแต่งงานของคุณก่อนเป็นอันดับแรก
ข้อแนะนำง่ายๆ สำหรับการเลือกช่อดอกไม้ให้เข้ากับชุดก็คือ คุณจำเป็นต้องทราบสีชุดแต่งงานของคุณเสียก่อน เพื่อจะเลือกสีของดอกไม้ให้เข้ากัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกไม้ที่เข้ากับสีของธีมงานก็ได้ เพราะจะดูจำเจเกินไป แค่เข้ากับสีชุดเจ้าสาวก็เพียงพอ
หากชุดเจ้าสาวคุณเป็นสีขาว คุณอาจจะถือดอกลิลลี่สีขาวหรือสีชมพู หากชุดสีชมพูอ่อน คุณอาจถือดอกคาเนชั่นหรือกุหลาบสีชมพูเข้ม แซมด้วยยิบโซหรือกุหลาบขาว หรือดอกลิลลี่สีขาวก็ดูหวานทีเดียว และถ้าชุดของคุณมีรายละเอียดมากพออยู่แล้ว ให้เลือกช่อดอกไม้สีเรียบๆ แต่ถ้าชุดของคุณเป็นแบบเรียบ ช่อดอกไม้ที่สวยงามดีไซน์เก๋ จะช่วยส่งให้ชุดของคุณดูเด่นขึ้น
ทั้งนี้ อย่าถือดอกไม้ช่อใหญ่เกินไป เพราะการถือดอกไม้ช่อใหญ่นอกจากจะทำให้คุณเมื่อยล้ามือแล้ว ยังขโมยชีนความงามที่คุณอุตส่าห์ตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวแต่เข้าตรู่ด้วย ฉะนั้น ดอกไม้จึงควรมีน้ำหนักเบาและกระทัดรัด ช่วยส่งให้คุณดูเด่นแทนที่จะแย่งเด่นซะเอง
การจัดซุ้มดอกไม้ในงานแต่งงาน
วันนี้หนุ่มสาวที่กำลังจะลั่นระฆังวิวาห์ แต่กลับยังไม่ได้วางแผนเตรียมดอกไม้สำหรับจัดในงานแต่ง ด้วยการแนะวิธีจัดดอกไม้เองที่บ้านง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เนื่องจากดอกไม้ในงานแต่งงานเปรียบได้กับเครื่องประดับชิ้นสวยภายในงาน ที่เจ้าภาพจะจัดเตรียมไว้ต้อนรับเพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาร่วมงาน และยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้ความทรงจำที่เก็บไว้ในภาพถ่ายงดงาม
โดยนักจัดดอกไม้เห็นว่าการจัดดอกไม้ในงานแต่งงานนั้น ไม่ได้ยึดถือเรื่องเทรนด์เป็นสำคัญ แต่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลของดอกไม้และความชอบของคู่บ่าวสาวมากกว่า และปัจจุบันจะต้องเน้นถึงความประหยัดแต่สวยงามเป็นสำคัญ การจัดดอกไม้เองในงานแต่งงงานก็ถือเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราสามารถทำได้เองง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปดูขั้นตอนกันเลยค่ะ
1. ขั้นแรก คือ คู่บ่าวสาวจะต้องคุยกันก่อน เพราะต้องมีคอนเซ็บในใจที่ชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องการจัดงานแต่งงาน จะจัดงานแต่งที่ไหน อยากได้ดอกไม้โทนสีอะไร สไตล์ใด ซึ่งในปัจจุบันการจัดดอกไม้ในโทนสีขาว-เขียว เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะดูเป็นสีที่ปลอดภัยหายห่วง ดูเรียบร้อยและโก้หรู แต่เวลาถ่ายรูปออกมาสีอาจจืดชืดไปหน่อย ถ้าคุณชอบสีสันสดใสจะเป็นโทนสีอ่อน หรือโทนสีเข้ม แนะนำให้ลองจัดธีมสีแดง-ชมพู หรือสีเหลือง-ส้ม ชมพู ฟ้า เขียว น้ำตาล ม่วง แดง สีเหลือง หรือจะเอาแบบโทนสีสองสีรวมกัน เช่น ขาวเขียว ขาวชมพู ขาวแดง เพื่อเราจะได้ซื้อของในโทนสีที่ต้องการมาทำได้ถูกต้อง
2. เลือกรูปแบบการจัดดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นแบบยาว แบบสั้น แบบพุ่ม แบบโค้ง จะต้องมีการจัดช่อดอกไม้ใหญ่เล็กสลับกันไปมา ซึ่งในขั้นตอนนี้เราสามารถขอคำปรึกษาจากผู้ที่เชี่ยวชาญในการจัดดอกไม้ได้ หรือการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง พร้อมหาสถานที่จัดงานให้เรียบร้อยเสียก่อน คอนเซ็ปต์ของดอกไม้สไตล์ของห้องจัดงาน เช่น ถ้าห้องหรูหรา ใหญ่โต ออกแบบและคิดคำนวณว่าจะต้องใช้ดอกไม้มากน้อยแค่ไหนถึงกำลังสวย แล้วจึงสั่งดอกไม้ ดอกไม้บางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แล้วยังต้องเตรียมงานโครงสร้างต่าง ๆ เช่น โครงเหล็กซุ้มประตู ทำ Backdrop หรือฉากหลังไว้สำหรับถ่ายรูป
3. งบประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าคู่บ่าวสาวให้ความสำคัญกับดอกไม้ในงานแต่งงานมากแค่ไหน
4. เมื่อได้ร่างรูปแบบตามที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปจ่ายตลาดแหล่งขายดอกไม้เลยค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วตลาดมักจะเริ่มขายในตอนเช้าตรู่ ใครที่ต้องการดอกไม้ถูก ๆ คุณภาพดี ก็ต้องตื่นตั้งเช้าเลยค่ะ เพราะถ้าไปสายก็จะเหลือแต่ดอกไม้ที่เหี่ยวไม่สวยแล้ว ฉะนั้น ต้องรีบขุดตัวเองออกมาจากบ้านโดยเร็วค่ะ และโดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดดอกไม้ชื่อดังในกรุงเทพฯ ก็จะมี ตลาดปากคลองตลาด ตลาดไท หรือบรรดาตลาดสดย่านต่าง ๆ หรือถ้าใครอยากได้ดอกไม้ที่อยู่ในกระถางแบบเป็นต้น ๆ ก็จะมีแถวตลาดต้นไม้ อตก. และตลาดสวนจตุจักร ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการจัดก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
5.เมื่อช้อปอุปกรณ์มาครบแล้ว ก็เริ่มลงมือจัดดอกไม้ตามแบบที่วางไว้เลยค่ะ
สิ่งที่ต้องเตรียมในการจัดดอกไม้
1. ภาชนะสำหรับจัด หมายถึง ภาชนะสำหรับรองรับดอกไม้มีหลายชนิด เช่น แจกันรูปทรงต่าง ๆ เช่น กระบุง ตะกร้า ชะลอม
2. ที่สำหรับรองภาชนะ เมื่อจัดดอกไม้เสร็จควรมีสิ่งรองรับเพื่อความสวยงาม ความโดดเด่นของแจกัน เช่น ไม้ไผ่ขัดหรือสานเป็นแพ กระจก แป้นไม้
3. กรรไกรสำหรับตัดแต่ง
4. เครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ลวด ทราย ดินน้ำมัน กระดาษสี ฟลอร่าเทปสีเขียว ก้านมะพร้าว ลวดเบอร์ 24 และ เบอร์ 30
5. ดอกไม้ประดิษฐ์พร้อมใบไม้สำเร็จ
6. เครื่องประกอบตกแต่ง เช่น กิ่งไม้ ขอนไม้ ตุ๊กตา ขดลวด เป็นต้น
สำหรับการจัดดอกไม้โดยทั่ว ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้…
1. การจัดดอกไม้เลียนแบบธรรมชาติ เป็นการจัดดอกไม้แบบง่าย ๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้าน โดยอาศัยความเจริญเติบโตของต้นไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ นำมาจัดลงภาชนะ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดต่าง ๆ 3 กิ่ง การจัดดอกไม้แบบนี้นิยมนำหลักการจัดดอกไม้จากประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์
2. การจัดดอกไม้แบบสากล นิยมจัด 7 รูปแบบ คือ รูปทรงแนวดิ่ง ทรงกลม ทรงสามเหลี่ยมมุมฉาก ทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า ทรงพระจันทร์คว่ำ ทรงพระจันทร์เสี้ยว ทรงตัวเอส
3. การจัดดอกไม้แบบสมัยใหม่ เป็นการจัดดอกไม้ที่มีรูปแบบอิสระ เน้นความหมายของรูปแบบ บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ดอกไม้แต่อาจใช้วัสดุหรือภาชนะเป็นจุดเด่น เป็นการสร้างความรู้สึกให้ผู้พบเห็น การจัดดอกไม้แบบนี้ยังอาศัยหลักเกณฑ์ สัดส่วนและความสมดุลด้วยค่ะ
รูปแบบการจัดดอกไม้ยอดนิยมในงานแต่งงาน ได้แก่…
1. โทปิอารี (Topiary) เป็นศิลปะการตกแต่งไม้พุ่มให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ โดยเฉพาะรูปทรงเรขาคณิต เช่น รูปทรงกลม รูปสามเหลี่ยมหรือรูปสี่เหลี่ยม รวมทั้งการตกแต่งให้เป็นรูปคน สัตว์ หรือสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งศิลปะการตกแต่งดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมตั้งแต่ยุคโบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ โดยโทปิอารีที่จัดง่ายที่สุด คือ รูปทรงกลม และดอกไม้ที่จัดโทปิอารีได้สวยที่สุดก็คือ ดอกกุหลาบนั่นเองค่ะ
2. การจัดดอกไม้รวม โดยการจัดดอกไม้รวมให้ออกมาดี คือ ดอกไม้แต่ละแบบต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน และการส่งเสริมกันนี้จะทำให้ความงามของดอกไม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3. การจัดดอกไม้สีโทนร้อน ซึ่งสีโทนร้อน ได้แก่ สีแดง สีส้มหรือสีแสด สีเหลือง สีม่วง เป็นต้น สีโทนร้อนเป็นสีที่แสดงถึงพลัง ความบ้าคลั่ง ความตื่นเต้นเร้าใจ การเย้ายวน ความกระฉับกระเฉง และไม่พ่ายแพ้ง่าย ๆ ถ้าคุณจะจัดดอกไม้โทนร้อนในบ้าน ควรเลือกมุมที่แสงแดดส่องถึง การจัดลำดับสีโทนร้อนนั้นจะเป็นการจัดดอกไม้ที่มีความหลากหลาย ซึ่งทำให้มีความคิดสร้างสรรค์แบบไม่จำกัดมากขึ้นค่ะ
4. การจัดดอกไม้สีโทนอ่อน สีโทนอ่อนเป็นสีเย็นตา เช่น สีขาว ดอกไม้สีขาวเป็นทางเลือกคลาสสิก ความงามตามธรรมชาติของดอกไม้ สีอ่อนทำให้ดูดีขึ้นได้ด้วยการเลือกใบอย่างชาญฉลาด ภาชนะที่ใส่ถ้าเป็นดอกสีขาวอาจจะเลือกให้อยู่ในโทนเดียวกันก็ได้ จะให้ความงามที่สบายตาและดูมีรสนิยม ด้วยค่ะ
5. การจัดดอกไม้ขนาดใหญ่ ต้องการภาชนะที่ใหญ่และหนัก ภาชนะที่ใช้อาจจะเป็นแจกันขนาดใหญ่ โอ่งขนาดเล็กหรือกลาง หรือง่าย ๆ ถังสีที่คุณใช้แล้ว ทำความสะอาดสักหน่อยก็จะให้ความสวยที่ไม่แพ้กับแจกันราคาแพง ยิ่งเป็นการจัดดอกไม้ใหญ่เท่าไร ความสำคัญของภาชนะก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นค่ะ
6. การจัดดอกไม้แบบสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น โดยมีอิทธิพลของจิตรกรเป็นส่วนประกอบด้วย เพราะลักษณะรูปแบบในการจัดดอกไม้ตามแบบสมัยใหม่ มีทีท่าส่อไปในรูปแบบที่คำนึงถึงความง่าย ความสะดวก เช่นเดียวกับการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น ไม่พิถีพิถันในการเลือกสรรวัสดุการจัดและอุปกรณ์แต่อย่างใด หากแต่ว่าได้เน้นหนักไปในทางที่จะต้องทำให้ได้ส่วนสัมพันธ์และรับกันกับแบบของเครื่องเรือน หรือลักษณะและรูปแบบของห้องที่นำมันไปประดับ
การจัดดอกไม้สมัยใหม่ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. แบบโมเดิร์น หรือแบบทันสมัย
2. แบบแอ็บสแตร็กส์ หรือแบบคำนึงถึงสัญลักษณ์มากกว่าความสมจริง
3. แบบแฟนซี หรือแบบที่ดูแปลก ๆ พิสดาร
วิธีการและรูปแบบการจัดดอกไม้แบบสมัยใหม่นั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะหลักการสำคัญที่ยึดถืออยู่ ก็คือ เส้นหรือแนวนั่นเอง ซึ่งเป็นการจัดแบบเดียวกันแต่แยกประเภทเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนค่ะเป็นยังไง บ้างค่ะกับข้อมูลการจัดดอกไม้ในงานแต่งงานด้วยตัวเองที่เราเอามานำเสนอกัน