เลือกผ้าม่าน แบบไหนให้เหมาะกับการตกแต่งบ้าน
04 พฤษภาคม 2567
ผู้ชม 56 ผู้ชม
ติดตั้งผ้าม่าน มู่ลี่ วอลล์เปเปอร์. ม่านปรับแสง ฉากกั้นแอร์ ม่านม้วน ม่านปรับแสง พร้อมประเมิณราคาถึงบ้าน บริการติดฉากกั้นห้อง ฉากกั้นแอร์วอลเปเปอร์ บ้าน คอนโดฯลฯ สีสันสวย ผ้าม่านสำเร็จรูป พร้อมสั่งตัดได้ตามขนาดที่ต้องการ พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ
ออกแบบติดตั้งผ้าม่าน
ออกแบบติดตั้งฉากกั้นห้อง
ผ้าม่านราคาถูก
ออกแบบติดตั้งม่าน
ร้านผ้าม่าน
ผ้าม่านสําเร็จรูป
ออกแบบติดตั้งมู่ลี่
ออกแบบติดตั้งม่านม้วน
รับติดตั้งม่านกั้นห้อง
ผลงานติดตั้งผ้าม่านมู่ลี่
ติดตั้งผ้าม่านสวย
เลือกผ้าม่าน แบบไหนให้เหมาะกับการตกแต่งบ้าน
การเลือกผ้าม่านให้เข้ากับการแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์น : สไตล์โมเดิร์นเป็นสไตล์ที่มีเฟอร์นิเจอร์ออกแบบให้มีรูปทรงเรียบๆ หรือรูปทรงเลขาคณิตนั้นเอง เราควรเลือกผ้าม่านสองชั้น ชั้นแรกควรเป็นผ้าโปร่งๆ สีขาว เพื่อเพิ่มความแปลกตา และช่วยให้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาแต่ก็ยังให้ความเป็นส่วนตัวได้ ส่วนผ้าม่านชั้นนอกควรเป็นแบบโรมันไบลนด์ เพราะม่านโรมันไบลนด์ มีความสวยงาม เป็นระเบียบเน้นเส้นสายเรียบๆ เหมาะที่จะนำมาตกแต่งบ้านสไตล์นี้
เลือกผ้าม่านให้เข้ากับบ้านเรียบๆ : การตกแต่งบ้านเรียบๆ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ก็จะเป็นแบบไม่ทางการนัก หน้าต่างส่วนใหญ่จะโค้ง ทรงสูง ควรติดม่านเลยโค้งหน้าต่างไป เลือกใช้ผ้าม่านที่มีสีเดียวกับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์จะช่วยให้ดูกลมกลืนและบ้านดูหรูหราขึ้น
เลือกผ้าม่านให้เข้ากับบ้านสไตล์ตะวันออก : การแต่งบ้านสไตล์ตะวันออก เป็นการตกแต่งบ้านแบบผสมผสานระหว่างกลิ่นอายความละเมียดละไมของขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตดังเดิมในแต่ละท้องถิ่นทั่วทุกภูมิภาค จึงควรใช่มู่ลี่ไม้เพื่อเพิ่มความเป็นเอกลักให้แก่บ้านสไตล์ตะวันออกดังนั้น
การเลือกผ้าม่านนั้นต้องอาศัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นความสูงของห้อง ลักษณะของตัวหน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์ ทุกส่วนส่งผลถึงกันหมดค่ะ เพื่อนๆ ก็ได้เห็นผ้าม่านทั้งสามแบบกันไปแล้วหวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงช่วยให้เพื่อนๆ เลือกผ้าม่านให้เข้ากับบ้านเพื่อนๆ ได้นะคะ
วิธีเลือกผ้าม่าน
การเลือกผ้าม่าน เหตุเพราะยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามกาลเวลา ความรู้ความเข้าใจที่หลากหลากหลาย ความชอบ สไตล์ของแต่ละคน สถานที่และความเหมาะสม การเลือกผ้าม่าน ยังไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวเสมอไป แต่มีแนวทางเป็นการแนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มต้น ผ้าม่านทุกวันนี้ ต่างจากเมื่อก่อน ทั้งในด้านของรูปแบบ เนื้อผ้าและสีสัน
ความนิยมเปลี่ยนตามกาลเวลา
สมัยก่อน ความนิยมเลือกผ้าม่านจะเลือกเป็นสีเข้ม สีสด เช่นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม เหตุผลเพระกลัวผ้าเก่า สีซีดเร็ว และเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่ายาวนาน ต้องกันแดด กันแสงได้ดี โดยเชื่อว่าสีเข้มจะทำให้ผ้าดูเก่าช้า สีซีดน้อยกว่าผ้าสีอ่อน ส่วนเนื้อผ้าต้องเป็นผ้าที่หนามากๆ เชื่อว่าจะได้ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน คุ้มค่ากว่ากับเงินที่เสียไป นั้นคือความคิดและค่านิยมเมื่อก่อน
สีมีผลต่ออารมณ์
ต่อมาแนวคิดนั้นเริ่มเปลี่ยน เนื่องจากในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในเรื่องของเนื้อผ้าและสีมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของสี ที่มีอิทธิพลและมีผลต่ออารมย์ ความรู้สึกของมนุษย์ การเลือกสีผ้าม่าน ปัจจุบันนี้จึงต่างจากเมื่อก่อนมาก มีความลงตัว สวยงามมากขึ้น ได้บรรยากาศ ความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม
สีที่นิยมทำม่าน
ในปัจจุบัน สีที่ได้รับความนิยม ได้แก่สี เอิร์ธโทน คือสีที่มองไม่เป็นสีใดสีหนึ่งเลยที่เดีวว หรือเป็นสีที่มองกล่ำกึ่ง เป็นสีผสม อาจเป็นเทาอมฟ้า น้ำตาลอมม่วง เทาน้ำตาล ประมาณนี้ โทนสีมองแล้ว อบอุ่น เช่น โทนน้ำตาล ทั้งอ่อนและเข้ม และสีใกล้เคียงเช่น สีเบจ สีครีม สีเทา หรือสีที่มองแล้วที่ให้ความรู้สึก นุ่มนวล อบอุ่น อ่อนโยน มองสบายๆ ด้วยเหตุผลของสี จึงมีส่วนสร้างบรรยากาศทำให้บ้านหรือที่พักอาศัยน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ผ้าที่นิยม
ผ้าม่านทุกวันต่างจากเมื่อก่อน เหตุเพราะค่านิยมมีการเปลี่ยนแปลง เดียวนี้ผ้าหนาๆ แข็งๆ ไม่เป็นที่นิยม การทำผ้าม่าน สิ่งที่ต้องการหลักคือความสวยงาม ความพริ้วไหว อ่อนช้อยของเนื้อผ้า หลายปีที่ผ่านมา ความนิยมของการใช้ผ้า จะเน้นเรื่องการทิ้งตัว มองดูพริ้วๆ มาจีบไม่นิยมรีดจีบให้เป็นสันคม แต่นิยมโดยปล่อยผ้าให้เป็นลอนโค้งสลับไปมา เป็นรูปแบบการทิ้งตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า
ผ้าม่านปัจจุบัน ราคาถูกกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ราคาผ้าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ผ้าทุกวันนี้ราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก การทำผ้าม่านหนึ่งหลังจึงใช้งบประมาณไม่เท่ากับสมัย 10 ปีที่ผ่านมา และผ้ายังมีคุณสมบัติได้ตามต้องการมากว่า เช่น เป็นผ้าหน้ากว้าง ตัดเย็บไม่ต้องต่อผ้า เป็นผ้ากันแสง Black out, Dim out เนื้อผ้านิ่ม พริ้วไหว ทิ้งตัวดี มีน้ำหนัก ผ้าไม่ต้องหนาเหมือนเมื่อก่อน คุณสมบัติมากกว่า ดูแลรักษาง่ายกว่า ที่สำคํยราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก
ผ้าหน้ากว้าง
ผ้าที่ใชัตัดเย็บผ้าม่านปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นหน้ากว้าง 280-300 ซม. แถมราคาเท่าเดิมหรือถูกลงกว่าเดิมมากกว่า ซึ่งก่อน 10 ปี ผ้าที่ใช้ทำผ้าม่านยังเป็นผ้าหน้าแคบ ยังต้องต่อผ้า ปัจจุบันนิยมใช้ผ้าหน้ากว้าง ด้วยราคาที่ถูกกว่า กันแสง กรองแสงในตัว ไม่ต้องต่อผ้าและราคาก็ถูกกว่า เพราะการใช้ผ้าน้อยกว่า นั่นหมายความว่า การทำผ้าม่านทุกวันนี้ ราคาจะถูกลงกว่าเมื่อ10 ปีก่อนมาก และยังได้คุณสมบัติที่มากกว่าตามที่กล่าว (ก่อนหน้านี้ ผ้ากันแสงต้องใช้ผ้าฉาบปรอท ซึ่งเป็นผ้าอีกชิ้น นำมาแปะติดหลังผ้า) ทำให้ขาดความสวยงาม และต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
ผ้าหนา ผ้าบาง ต่างกันอย่างไร
ในเรื่องของเนื้อผ้า ผ้าม่านไม่จำเป็นต้องเป็นผ้าหนาเสมอไป สิ่งสำคัญจะอยู่เนื้อผ้า หรือโครงสร้างของผ้า มาจากวัตถุดิบอะไร และเทคนิคการทอเช่น ขนาดเส้นด้าย ความหนาแน่น ผ้าที่หนา อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ บางครั้งแสงผ่านและมองทะลุได้ แต่กลับกัน ผ้าที่บางอาจไม่สามารถมองผ่านได้ เหตุผลคือการใช้เส้นใยหรือเส้นด้ายที่เล็กกว่า มีความหนาแน่นมากกว่า
การกระบวนการทอตามคุณลักษณะ ทำให้ได้ผ้าม่านที่เป็นไปตามความต้องการเช่น การทิ้งตัว ความพริ้วไหว ความสวยงามได้รูปทรง ขณะเดียวกันผ้าที่มีเนื้อหนากว่า ถึงแม้จะมีน้ำหนักมาก แต่ใช่ว่าจะทิ้งตัวดี อาจแข็งเกินไป ไม่มีคุณสมบัติครบ อันเป็นเหตุผลที่ผ้าที่หนาอาจสู้ผ้าที่บางกว่าไม่ได้ ฉนั้นผ้าที่มีน้ำหนัก การทิ้งตัว ไม่ได้ขึ้นอยู่ความหนาของผ้าม่านเสมอไป
ดังนั้นการเลือกใช้ผ้าม่าน ต้องดูที่ความเหมาะสม เช่นผ้าที่มีเนื้อบาง ก็จะเหมาะกับผ้าม่านลักษณะที่ต้องการความพริ้วไหว มีการทิ้งตัวอย่างเป็นรูปทรง เช่น ม่านหลุยส์,ม่านจีบ,หรือ ม่านรูปแบบอื่นที่มีลักษณะไกล้เคียงกัน ส่วนผ้าที่หนามีเนื้อค่อนข้างแข็ง ก็จะเหมาะกับพวกม่านพับ ม่านรูปทรงอื่นที่ไม่ต้องการความพริ้วไหว หรือทำเป็นผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
การเลือกผ้าม่าน
บางทีอาจเป็นเรื่องอยากสำหรับบางคน ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เช่นนั้นซะทีเดียว ถ้ามีความเข้าใจโดยพื้นฐานเรื่องสีอยู่บ้าง หรือไม่ก็จากประสบการณ์ที่เคยได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ๆเราเคยผ่านตา เช่นบ้านตัวอย่างตามโครงการ หรือบ้านที่เราเคยได้เข้าไปติดต่อ อาจเป็นบ้านเพื่อน คนรู้จัก หรือไม่ก็จากหนังสือ นิตยาสาร อินเตอร์เน็ต หรือในร้านผ้าม่านเอง นั้นก็คือพื้นฐานเบื้องต้น ความรู้สึกต่างๆ เราสามารถสัมผัสได้ในระดับหนึ่ง มองออกได้ในระดับหนึ่ง ทำให้เราได้มีพื้นฐานเริ่มต้นไม่มากก็น้อย การเลือกผ้าม่านนั้นความสำคัญ ขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะชอบแบบไหน พอใจแบบไหน เราเองสามารถรู้ได้โดยความรู้สึกของเราเอง นั้นคือบรรทัดฐานในการตัดสินใจ
จัดสีผ้า ให้เข้ากับสิ่งรอบข้าง
ในเรื่องของสีและลายผ้านั้น ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวเสมอไป หลายสิ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ไม่ได้จำกัดว่าห้องนอนต้องเป็นสีโน้น ห้องนั่งเล่นต้องเป็นสีนี้ เราสามารถเลือกสีและรูปแบบของผ้าม่านเพื่อให้เข้าหรือไปกันได้กับสภาพแวดล้อมหรือภาพรวมที่เราต้องการตกแต่ง ขอแค่ทำแล้วกลมกลืนหรือจะอาจตัดกันบ้าง กับสิ่งรอบข้าง เช่น โต๊ะ ตู เตียง หรือบรรยากาศโดยรวม เช่นสีโดยรวมของห้องนั้นออกโทนสีอะไร รูปแบบและสีเฟอร์นิเจอร์เป็นอย่างไร เราสามารถนำสีผ้าม่านนั้นมาเปรียบเทียบดูถึงความเหมาะสม หรือเพื่อให้ตัดกันในแนวทางที่ไปก้นได้ แต่งแล้วให้ดูโดดเด่น กลมกลืน สวยงาม ก็โอเค
เลือกให้เข้าหรือไปกันได้กับห้อง
ความจริงการเลือกผ้าม่าน สิ่งที่ควรนึกถึงเป็นอันดับแรกคือรูปแบบของบ้าน ม่านพับคงไม่เหมาะกับบ้านทรงโรมัน แต่ทั้งนี้อาจไม่ได้เป็นกฏเกณฑ์ตายตัวเสมอเช่นเคย ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่เราจะเติมหรือเพิ่มเข้าไป เช่นม่านพับสามารถเพิ่มการตกแต่งชายครุยหรืออย่างอื่นในสไตล์หลุยส์เข้าไปได้ ตกแต่งให้บรรยากาศไปกันได้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลือกผ้าม่านคือการเลือกใช้เฉดสี ตรงนี้อาจต้องทำความเข้าใจให้มากเป็นพิเศษ ความสำคัญถ้าสีที่ไปกันได้กับสิ่งรอบข้างก็จะทำให้ได้บรรยากาศที่ดี
การเลือกใช้สีผ้าม่านนั้นต้องมีความเข้าใจ หรือไม่ก็มีความรู้เรื่องอารมณ์ของสี บางคนเลือกผ้าจากแรกเห็น ในตัวอย่างที่อยู่ในแค็ตตาล๊อกว่าสวย แต่พอกตัดสินใจทำไปแล้ว ปรากฎว่าสีไม่ได้อย่างที่คิด เข้มเกินไป อ่อนเกินไปบ้าง ดูทึบบ้าง ดูลายตาบ้าง ดูเก่าบ้าง ออกมาไม่สวย ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง อันนี้ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ข้อควรระวัง ถ้าไม่แน่ใจ ถ้าจำเป็นต้องเลือก ให้เลือกสีทีเป็นกลาง หรือสีที่สามารถเข้ากับสภาพแวดล้อมหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ทุกสี เช่น สีเทา สีครีม สีเบจ สีน้ำตาลอ่อน สีออฟไวท์ ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีที่เป็นกลาง สามารถเข้ากับทุกสีได้โดยไม่มีความขัดแย้งกับสีต่างๆ ก็จะช่วยลดข้อผิดพลาดได้ในระดับหนึ่ง
ผ้ามีหลายแบบ เลือกผ้าอะไรดี
การเลือกผ้าม่าน หลักง่ายๆไม่ว่าจะเป็นผ้าทอลาย หรือผ้าพื้นสี สิ่งสำคัญต้องดูว่าห้องนั้นสีอะไร บรรยากาศโดยรวมเป็นโทนสีอะไร ให้เราเลือกผ้าม่านสีโทนเดียวกับห้องจะดีที่สุด ถ้าผนังสีขาว ก็ต้องดูว่าเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งห้องมีสีอะไรบ้าง ก็ให้เราเลือกโทนไกล้เคียง อาจอ่อนหรือเข้มกว่าบ้างนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับสีเฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก ต้องลองเทียบสีดู
วิธีการคือนำตัวอย่างผ้าม่านมาวางไกล้ๆ กับเฟอร์นิเจอร์เปรียบเทียบดูว่าสีไหนกลมกลืนที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นโทนเดียวกันอาจตัดกันก็ได้ แต่ดูแล้วต้องไปกันได้ กรณีเลือกผ้าม่านก่อนเฟอร์นิเจอร์ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเราจะสั่งเฟอร์นิเจอร์สีอะไร ก็ควรเลือกผ้าม่านสีที่เป็นกลางๆ สามารถเข้ากับสีอื่นได้หลายๆสี เช่น สีเทา สีเบจ สีครีม น้ำตาลอ่อน วนิลา ออฟไวท์ เพราะเมื่อนำเฟอร์นิเจอร์เข้ามาภายหลังจะได้ไม่ขัดกัน เนื่องจากสีเหล่านี้สามารถเข้ากับสีอะไรก็ได้ แต่ทางที่ดีเราควรมีการวางแผนล่วงหน้า หรือคิดไว้ในใจก่อนจะเป็นดี เพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
ควรหลีกเลี่ยงผ้าม่านที่มีลาย โดยเฉพาะลายใหญ่ ดอกใหญ่ๆ จริงอยู่ลายในเนื้อผ้า ขณะดูที่ตัวอย่างอาจเห็นว่าสวยดี แต่นั้นคือภาพที่เรามองขณะที่เป็นผ้าชิ้นเล็ก อย่าลืมว่าผ้าม่านที่เราใช้จริงจะชิ้นใหญ่กว่ามาก ดอกใหญ่ ต้องนึกถึงเมื่อติดตั้งแล้วเสร็จว่าจะเป็นอย่างไร ที่จริงความสวยงามของผ้าม่านขึ้นอยู่กับสีและรูปแบบที่เราเลือกใช้มากกว่า เช่นเลือก แบบม่านหลุยส์,ม่านพับ,ม่านตาไก่,กระเช้า เหล่านี้ความสวยงามของลายผ้าไม่เท่ากับความสวยงามของแบบรูปแบบ
ความสวยงามของผ้าม่าน ไม่ได้ขึ้นอยูกับลายผ้าเสมอไป เพราะถ้าเราใช้ผ้าลายใหญ่ ยิ่งสีเข้มด้วยแล้ว สิ่งที่ตามมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายตา ไม่สบายอารมณ์ ลายบางลายมองบ่อยๆ อาจทำให้เวียนหัวเลยก็เป็นได้ เพราะตอนที่ดูตัวอย่างก็มองว่าสวยดี แต่พอมองภาพรวมแล้วไม่ใช่ ต้องไม่ลืมว่าผ้าม่านจำเป็นต้องทำจีบหรือต้องใช้ผ้าสองเท่าของหน้าต่างหรือประตู นั้นหมายความว่าลายของผ้าที่เราเลือกก็จะแน่นคูณสองโดยทันที ถ้าเป็นผ้าม่านลายใหญ่หรือลายดอกที่ว่าแล้วความหนาแน่นของลายผ้าจะเพิ่มขึ้น อาจทำให้ลายตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1.การเลือกผ้าม่านห้องรับแขก
ห้องรับแขกเป็นห้องที่ใช้งานบ่อยมากที่สุด และเป็นห้องที่ต้องใช้ต้อนรับแขกหรือผู้มาติดต่อเยี่ยมเยือน การตกแต่งที่สวยงามลงตัว ยังเป็นการบ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าบ้านในการมีแนวคิดตกแต่ง ก็คงต้องเน้นให้มากเป็นพิเศษ
เราสามารถเลือกผ้าม่านที่มีลายบ้างได้ และสีของผ้าม่านก็อาจเข้มขึ้นมาตามบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมเช่นถ้าห้องที่กว้างและสูงโปร่ง มีการจัดวางเฟอร์เจอร์ไม่แน่นมาก ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้ผ้าม่านที่มีโทนสีเข้มหรือแบบที่มีลาย
แต่ถ้าห้องแคบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวหลังเล็ก หรือเทาว์เฮาส์ ก็ต้องดูที่ความเหมาะสม ลองจินนาการตอนที่ผ้าม่านเสร็จเรีบบร้อยว่าจะออกมาในลักษณะใด ข้อสำคัญต้องไม่ลืมว่าผ้าม่านนั้นไม่ได้สวยอยู่ที่ลายผ้า ผ้าม่านจะสวยที่รูปแบบดังที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากการเลือกใช้โทนสีที่เหมาะสมแล้ว สำหรับผ้าม่านหัองรับแขก เราก็อาจตกแต่งเพิ่มลายละเอียด ให้ดูสวยงาม มีสีสัน เด่น สดุดตา โดยการเติมลูกเล่นให้กับผ้าม่าน อาจเพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งเช่น ตะขอและสายรวบม่านที่มีให้เลือกในรูปแบบต่างๆ ภู่ ระบาย ชายครุย เกรียวเชือก หรือการตัดสีของผ้าที่เรียกว่าทูโทน ซึ่งตรงนี้อาจต้องสรรหารูปแบบหรือตัวอย่างจากแหล่งที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นตัวช่วยแนวคิดอีกทางเพื่อให้ได้ม่านที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด
เมื่อได้ผ้าม่านทึบนอกจากรูปแบบและสีผ้าม่านที่พอใจแล้ว จะให้ดีให้สวย ควรมีผ้าโปร่ง เพื่อให้ได้บรรยากาศของความนุ่มนวล สวยงาม เพิ่มบรรยากาศให้น่าอยู่ ความสำคัญอีกอย่างของม่านโปร่ง คือช่วยบังสายตาจากคนภายนอก ในขณะที่เราเปิดม่านทึบเพื่อรับแสงกลางวัน ผ้าโปร่งที่ใช้ควรเป็นสีขาวหรือออฟไวท์ เพราะถ้าใช้สีเข้มหรือสีเดียวกับตัวผ้าม่านจะดูไม่เหมาะ (สีออฟไวท์จะช่วยลดแสงทำให้เกิดความนุ่มนวลสบายตา ให้นึกสีของหลอดไฟ ระหว่างเดย์ไลท์ กับวอมไวท์)
2.การเลือกผ้าม่านห้องนอน
ห้องนอนก็เป็นอีกห้องที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะห้องนอนนอกจากความสำคัญใจเรื่องของการกันแสง และปิดบังสายตา ยังตัองรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ และความสำคัญอีกอย่าง ยังช่วยเสริมสร้างทำให้บรรยากาศโรแมนติก ทำให้คืนพักผ่อนมีคุณภาพ ปราศจากความวุ่นวายจากโลกภายนอก หลังจากที่เหน็จเหนื่อยจากการทำงาน เราต้องใช้ห้องนอนเพื่อการฟื้นพลังที่ศูนย์เสียจากการทำงาน และต้องเตรียมตัวต่อสู่กับการทำงานในวันต่อไป
ห้องนอนที่สวยงาม การตกแต่งที่ลงตัว มีส่วนช่วยทำให้การผักผ่อนมีคุณภาพมากขึ้น การเลือกผ้าม่านสำหรับห้องนอน ซึ่งเป็นห้องส่วนตัว สามารถเลือกสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแบบผ้าม่านหรือเลือกสี ให้เลือกที่เราชอบเป็นอันดับแรก สีที่ถูกโฉลกกับเรา ด้วยห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัวเป็นตัวเราจริงๆ สามารถสร้างความเป็นตัวและแสดงความเป็นตัวตนของเราได้อย่างเต็มที่ สามารถแต่งเติม เสริมบรรยากาศตามจินนาการของเรา โทนสีหรือรูปแบบไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่ที่ความชอบ ชอบแบบไหนทำแบบนั้น อย่างที่เรียกว่าไลฟ์สไตล์
แต่นิดนึง ควรเป็นแนวสีที่ดู สดชื่น สดใส น่าสนใจ และผ่อนคลาย กระฉับกระเฉง ไม่ควรใช้สีเข้มมากนัก สีทีควรใช้คือ สีเบจ ชมพู โอโรส ฟ้า ขาว น้ำตาลอ่อน หรือเหลืองอ่อนๆ และควรคำนึกถึงสิ่งแวดล้อม เฟอร์นิเจอร์ด้วย ผนังห้องหรือส่วนประกอบอย่างอื่น เช่น ชุดเครื่องนอน ผ้าคลุมต่างๆ
ที่สำคัญถ้าให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น ควรใช้ผ้ากันแสงอีกชั้นหนึ่งที่เรียกว่า แบล็คเอาท์ ใช้กันแสงและสะท้อนความร้อนที่เข้ามารบกวนขณะพักผ่อน หรือไม่ก็ใช้ ม่านพับ,ม่านม้วน ก็สามารถกันแสงก็ได้เช่นกัน วัสดุบางตัวสามารถกันแสงได้ถึง 100 % และม่านทั้งสองอย่างนี้ สามารถซ่อนเข้าไปภายในผ้าม่านหลักได้โดยไม่กินพื้นที่ เปิดปิดได้ง่าย สะดวกในการใช้งาน
3.การเลือกผ้าม่านห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่น อาจใช้สีโทนสดใส เช่น วนิลา ฟ้า โอโรส ก็ได้ แต่ต้องดู้ความเหมาะสมด้วยว่า ถ้าใช้สีต่างกันกับห้องอื่นมาก เมื่อมองดูจากภายนอกบ้าน ภาพรวมอาจดูไม่เหมาะเนื่องจากความแตกต่างของสีผ้าม่าน อาจเป็นสาเหตุทำให้ภาพรวมของบ้าน เมื่อมองจากภายนอกความสวยงามของบ้านอาจลดลง ผ้าม่านนอกจากโชว์ภายในแล้วเมื่อมองจากภายนอกก็ต้องดูดีเข้ากันและไปกันได้ด้วย แต่ถ้าจะใช้สีต่างกันก็ต้องดูว่าห้องนั้นอยู่ส่วนไหนของบ้าน ถ้ามองไม่เห็นจากหน้าบ้าน ก็ไม่น่ามีปัญหา สามารถทำได้เช่นกัน
4.การเลือกผ้าม่าน ห้องหนังสือ ห้องทำงาน
ห้องหนังหรือห้องทำงาน ควรเป็นผ้าพื้นสีเท่านั้น แต่ถ้าจะมีลายก็ขอให้เป็นลายผ้าที่เล็กๆ ไม่เด่นสสุดตา สีของผ้าก็ควรให้เข้ากับสีภายใน ส่วนรูปแบบก็ให้เป็นแบบที่เรียบง่ายมากที่สุด เช่นผ้าม่านจีบ ผ้าม่านพับ หรือม่านตาไก่ เพราะบรรยากาศห้องดังกล่าวเป็นห้องที่ต้องการใช้ความสงบเพื่อความคิดหรือสมาธิในการอ่านหนังสือหรือทำงาน
หรือถ้าไม่เป็นผ้าม่านอาจใช้เป็นมู่ลี่ หรือม่านปรับแสงก็ได้ ทั้งสองอย่างมีแบบและวัสดุให้เลือกหลายอย่าง ทั้งไม้ อลูมิเนียม พลาสติก ผ้าสังเคราะห์ โดยมีโทนสีต่างๆให้เลือกเพื่อให้เข้ากับผ้าม่านในห้องอื่นๆได้เช่นกัน เหตุผลที่ต้องเป็นม่านปรับแสงหรือมู่ลี่เนื่องจาก ทั้งม่านสองอย่างนี้คุณลักษณะคือตัวใบหรือตัววัสดุจะเป็นแนวนอนและแนวตั้งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ดูราบเรียบ ไม่มีความดึงดูดความสนใจ ตรงนี้จะทำให้อารมย์ความรู้สึกจะสงบ ไม่กระทบในการอ่านหนังสือและการการใช้ความคิด และสะดวกเมื่อต้องการเพิ่มหรือ ลดแสง โดยสามารถปรับแสง เมื่อต้องการลดหรือเพิ่มแสงได้
5.การเลือกผ้าม่าน ห้องอาหาร
ผ้าม่านห้องอาหาร สามารถใช้สีที่สดได้ เช่นสีส้ม สีเขียว สีเหลือง หรือสีที่เราชอบ แต่อย่างไรก็ควรให้เข้ากับสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ หรืออย่างน้อยให้ออกโทนใกล้เคียงกันกับภายในห้อง เพื่อไม่ให้ผ้าม่านฉีกออกมามากนัก การใช้สีสดในห้องอาหารโดยเฉพาะสีส้ม สามารถดึงดูดความสนใจ เป็นการกระตุ้นอารมณ์ ทำให้เราเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร
6.การเลือกผ้าม่าน ห้องครัว
ควรทำเป็นม่านโปร่ง หรือผ้าโปร่งแสง ด้วยห้องครัวเป็นหัองที่ต้องการแสงสว่างและความปลอดโปร่ง อีกทั้งเพื่อการระบายอากาศที่ดี รูปแบบควรใช้เป็นผ้าม่านโปร่ง รางแป๊บกลมเล็ก ติดตั้งเปิดบังส่วนที่จำเป็น อาจทำแค่ครึ่งหน้าต่างลงมา แต่ต้องไม่ไกล้ความร้อนจากเตา ไม่ควรใช้มู่ลี่ทั้งไม้และอลูมิเนียม เพราะว่าเมื่อมีไอระเหยจากการปรุงอาหาร โดยเฉพาะไอน้ำมัน จะจับและสะสม จะยากต่อการทำความสะอาด แนะนำให้เลือกผ้าม่านโปร่งรางแป๊ป เพราะผ้าม่านโปรงรางแป๊บ สามารถถอดทำความสะอาดได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า ไม่ยุ่งยาก ปิดบังสายตาได้ อากาศถ่ายเทได้ดี
อย่างหนึ่งอย่างใด การเลือกผ้าม่าน ดังทีกล่าวไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวเสมอไป ขึ้นอยู่กับยุคสมัย ขึ้นอยู่กับความพอใจ สิ่งที่สำคัญคือการระวังเรื่องการใช้สีเท่านั้น การใช้สีเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ เพราะสีมีอิทธิพลต่ออารมย์และความรู้สึก ซึ่งสามารถเปลี่ยนอารมย์มนุยษ์ได้ ข้อคิดและวิธีการเลือกผ้าม่านนี้เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น เป็นการแนะนำอย่างเป็นกลางๆ การใช้สีเข้ม หรือใช้ผ้าม่านลายใหญ่ สามารถทำได้ แต่ในการตัดสินใจเราอาจต้องปรึกษาผู้รู้ หรือปรึกษานักออกแบบที่มีความชำนาญ เพื่อให้ได้ผ้าม่านตามที่เราใฝ่ฝัน ให้คุ้มค่ากับปัจจัยที่เราต้องเสียไป