สร้างบ้านอำเภอเกาะสีชัง โทร 084-2986894
หมวดหมู่สินค้า: rtd5 สร้างบ้าน
15 มีนาคม 2565
ผู้ชม 104 ผู้ชม
สร้างบ้านสวยในที่ดินตัวเอง บริษัทสร้างบ้านคุณภาพ บ้าน บ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ อาคาร หอพัก เราพร้อมที่จะทำดีที่สุดให้กับคุณ
ไทยบ้านสวยอำเภอเกาะสีชัง
บริษัทรับสร้างบ้านในที่ดินของตัวเองอำเภอเกาะสีชัง
รับสร้างบ้านบนที่ดินอำเภอเกาะสีชัง
สร้างบ้าน 2 ชั้น รับออกแบบบ้านอำเภอเกาะสีชัง
รับเหมาก่อสร้างบ้านอำเภอเกาะสีชัง
ควบคุมงานโดยวิศวกรมืออาชีพ มั่นใจ ไม่ทิ้งงาน!
ติดต่อช่าง
บริษัทรับสร้างบ้านในที่ดินของตัวเองอำเภอเกาะสีชัง
รับสร้างบ้านบนที่ดินอำเภอเกาะสีชัง
สร้างบ้าน 2 ชั้น รับออกแบบบ้านอำเภอเกาะสีชัง
รับเหมาก่อสร้างบ้านอำเภอเกาะสีชัง
ควบคุมงานโดยวิศวกรมืออาชีพ มั่นใจ ไม่ทิ้งงาน!
ติดต่อช่าง
รับเหมาก่อสร้างบ้านอำเภอเกาะสีชัง
บ้านสวยอำเภอเกาะสีชังรับออกแบบสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น ราคาถูกที่สุด พร้อมกับโปรโมชั่นของแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอีกมากมาย
สร้างบ้านอำเภอเกาะสีชังที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ ทาวน์เฮ้าส์ ออฟฟิศสำนักงาน ร้านอาหาร คลินิก สปา รีสอร์ท โรงแรม ฯลฯ
ให้คำปรึกษา ออกแบบบ้านในพื้นที่อำเภอเกาะสีชังและบริการสินเชื่อกับธนาคาร ฟรี
บริษัทรับสร้างบ้านถูกอำเภอเกาะสีชังเสร็จเร็ว ลูกค้าพอใจ การันตีลูกค้าบอกต่อ คุณภาพสากล
บริการในการสร้างบ้านอำเภอเกาะสีชังอย่างครบวงจร มีให้เลือกมากกว่า 100 แบบบ้าน โทร! รับประกัน โครงสร้าง ตัวอย่างผลงานไทบ้านสวย
บทสรุปการกู้เงินสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง
– ควรมีที่ดินเป็นของตัวเองก่อน
– จ่ายค่าออกแบบ ขออนุญาตก่อสร้างให้เรียบร้อย
– หาผู้รับเหมา รับสร้างบ้าน
– ติดต่อยื่นกู้ธนาคาร
– เริ่มก่อสร้างด้วยเงินตัวเองก่อน
– เอาผลงานที่ได้ไปเบิกเงินจากธนาคาร แล้วมาสร้างต่อในงวดถัดไป
– ท่านจะต้องเตรียมเงินสำรองการก่อสร้างล่วงหน้า และค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าออกแบบ ค่าสัญญาไว้ประมาณ 20 – 30 % ของมูลค่าบ้าน (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน)
ตัวอย่างผลงานไทบ้านสวย
ตัวอย่างผลงานไทบ้านสวย
แชร์ขั้นตอนการ สร้างบ้าน ตั้งแต่เริ่มจนสรุปราคาค่าใช้จ่าย
เราขอเอาใจคนที่ไม่ได้ทำงานประจำหรือประกอบอาชีพอิสระ ไม่มีเงินเดือน แต่กำลังอยากจะมีบ้านสักหลัง แต่ไม่รู้วิธีทำหรืออยากจะศึกษาหาความรู้ วันนี้เรามีคำตอบให้ โดยต้องขอขอบคุณ สมาชิกหมายเลข 1100353 สมาชิกจากเว็บไซต์ pantip.com ที่ได้มา รีวิว สร้างบ้าน เป็นไอเดียขั้นตอนการสร้าง บ้านโมเดิร์นสวยๆ หลังนี้ ที่รับรองเลยว่าละเอียดยิบๆ เลยทีเดียว
รีวิว สร้างบ้าน ของคนไม่มีเงินเดือน พร้อมเทคนิคที่จะช่วยให้งบก่อสร้างไม่บานปลาย BY สมาชิกหมายเลข 1100353
กระทู้นี้เป็นการแบ่งปันประสบการณ์การปลูกบ้านของผมซึ่งประกอบอาชีพอิสระ ไม่มีเงินเดือน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการมีบ้าน เนื่องจากปัจจุบันบ้านยังไม่แล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ โดยอยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียดรอบตัวบ้านและอยู่ระหว่างขั้นตอนการตกแต่งภายใน ดังนั้น ผมจะทยอยลงไปเรื่อยๆ และแบ่งเป็นตอนๆ ไปเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน กว่าผมจะทยอยลงรีวิวเสร็จ การตกแต่งคงแล้วเสร็จทันกันพอดี หากไม่ถูกใจใครต้องขออภัยด้วยครับ
ขอเอารูปบ้านเรียกแขกก่อนครับ
หลังจากที่ตัดสินใจว่า สมควรจะมีบ้านเป็นของตัวเองได้แล้วนั้น ขั้นตอนแรกผมที่ทำนั้น คือ วางแผนเกี่ยวกับเงินว่า ผมจะใช้วิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน แต่เนื่องจากผมเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีหลักฐานะเกี่ยวกับการรับจ่ายเงินแต่อย่างใด
ดังนั้นหากผมต้องการกู้เงิน ผมจะต้องเตรียมหลักฐานแสดงที่มาที่ไปของรายได้ที่ผมได้รับเสียก่อน วิธีการที่ผมใช้คือ เมื่อผมได้รับการว่าจ้างจากใครก็ตาม ผมจะทำสัญญาว่าจ้างหรืออย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐานการว่าจ้าง แล้วเวลาที่ผมได้รับเงินค่าว่าจ้างหากได้รับเป็นเงินสดผมก็จะเอาเข้าบัญชีทันทีแล้วค่อยๆ ทยอยกดออกมาใช้แล้วก็มีเก็บเงินไว้บางส่วนไม่กดออกมาใช้จนหมด
โดยหากลูกค้าเป็นพวกบริษัท ผมก็จะให้เขาหักภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายทันที เพื่อจะได้ให้ได้ ภ.ง.ด. 50 ทวิ มาเก็บไว้ ครั้นเมื่อถึงปีภาษีผมก็จะยื่นแบบเสมอๆ ไม่ว่าผมจะมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียหรือไม่ ระหว่างนี้ผมก็ระมัดระวังไม่ให้เสียเครดิต แล้วเวลาใกล้ ๆ จะยื่นกู้ผมก็ได้ทำการปิดสินเชื่อต่างๆ ทั้งหมดเพื่อลดภาระ แต่ไม่ถึงขนาดปิดบัตรเครดิตนะครับ เพียงแต่ในแต่ละเดือนรูดไปเท่าไหร่ก็ชำระทั้งหมดนั่นเอง วิธีการของผมสำหรับการสร้างแหล่งที่มาที่ไปของรายได้มีเท่านี้ครับ
ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขายต่าง ๆ นั้น ก็สามารถใช้วิธีการนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่คงต้องเพิ่มพวกใบทะเบียนพาณิชย์ หนังสือสัญญาเช่าร้านค้า หรือหนังสือรับรองนิติบุคคล ที่จดทะเบียอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไปมาแสดงประกอบด้วย รายละเอียดพวกนี้ลองถามจากธนาคารหรือสถาบันการเงินดูน่าจะได้ข้อมูลที่แน่นกว่านี้ครับ
ระหว่างนี้ผมก็มองหาบ้านจัดสรรพวกบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์แปลงมุมพร้อมอยู่ทั่วไปๆ ในระแวกแถวที่ทำงานและไม่ไกลจากบ้านเก่ามากนัก เนื่องจากผมเห็นว่า สามารถคุมงบประมาณเกี่ยวกับตัวบ้านและที่ดินไม่ให้บานปลายและไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางด้านก่อสร้างมากนัก ตลอดจนได้สังคมรอบๆ บ้านในลักษณะที่เป็นบ้านพักอาศัยเท่านั้น
ยกเว้นเรื่องเพื่อนบ้านนะครับอันนี้ดูยากหน่อย แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่ได้เข้าดูบ้านจัดสรรจากหลายๆ โครงการก็พบว่า บางโครงการที่ผมรับราคาได้ แต่ไม่ถูกใจในเรื่องรายละเอียดของวัสดุก่อสร้างและวิธีการก่อสร้างที่ได้ ครั้นพอเจอโครงการที่ถูกใจ รายละเอียดวัสดุก่อสร้างพอรับได้ ราคานั้นก็สูงไปจนกลัวน่ากลัวว่าจะผ่อนไม่ไหว จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจว่า จะหาซื้อที่ดินเปล่าเพื่อปลูกบ้านเองในงบประมาณ ตลอดจนแบบบ้านและวัสดุก่อสร้างที่เราต้องการ จนในที่สุดผมก็ได้ที่ดินมา 1 แปลง ซึ่งอยู่ติดกับบ้านพ่อแม่ผมเลย แต่ผมก็ต้องแลกกับทำเลรอบ ๆ
บ้านที่อนาคตผมไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาอยู่ข้างบ้าน ที่ดินที่ผมได้มานั้น มีเนื้อที่ขนาด 100 ตารางวา หน้ากว้าง 16 เมตร ยาว 25 เมตร ถมดินมาระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันสูงจากถนนด้านหน้าประมาณ 80 เซนติเมตร มีรั้วปูนเสร็จสรรพแบบนี้
เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว ผมก็เริ่มขั้นตอนต่อไป คือ การหาแบบบ้านและผู้รับเหมาควบคู่กันไป เพื่อนำไปใช้ประกอบการยื่นขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เบื้องต้น ผมก็ดูแบบบ้านในใจไว้คร่าวๆ ว่าอยากได้แบบไหน กี่ชั้น พื้นที่ใช้สอยกี่ตารางเมตร ต้องมีห้องอะไรบ้าง หันหน้าบ้านไปทางไหน
ส่วนตัวผม ณ วินาทีนั้น มีเงินสดเพียงนิดหน่อยแล้วก็ไม่อยากกู้เงินมากนักจึงตั้งใจเพียงแค่จะต่อเติมห้องออกมาจากบ้านของพ่อแม่ที่อยู่ติดกัน โดยมีแค่ห้องนอนกับห้องทำงานอย่างละห้อง พื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 100 ตารางเมตรเท่านั้นพอ โดยจะตั้งงบไว้ไม่เกิน 1 ล้านบาท
แต่ภรรยาบอกว่า คนเราปลูกบ้านได้ไม่กี่ครั้งมาถึงขั้นนี้แล้วทำไมไม่ปลูกสร้างให้พอดีกับขนาดครอบครัวไปเลยเผื่ออนาคตเกิดมีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ผมจึงตัดสินใจกำหนดจำนวนห้องภายในบ้านเป็น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัว อีกอย่างละ 1 ห้อง
เพื่อให้พอดีกับขนาดครอบครัวของผม หลังจากนั้นก็ลองหาแบบบ้านตาม website รับสร้างบ้านต่างๆ web pantip ก็หา โดยเอาจำนวนห้องที่กำหนดเป็นเกณฑ์ในการมองหาแบบแปลนบ้าน แต่ก็ยังพบแบบไม่ถูกใจ จึงตัดสินใจว่าจะให้สถาปนิกออกแบบใหม่ทั้งหมด
ซึ่งการออกแบบใหม่จะมีข้อดีตรงสถาปนิกผู้ออกแบบจะพยายามออกแบบบ้านให้สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพและทิศทางของที่ดิน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่เหมือนแบบบ้านโหล และเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแบบบ้านสำเร็จรูปที่มีการปรับแก้จนถูกใจเราแล้วราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แค่คิดจะเริ่มก็บานแล้ว
แล้วใครล่ะจะมาเป็นสถาปนิกกับผู้รับเหมาให้เรา? คำถามนี้คงอยู่ในใจหลายๆ คน แน่นอนรวมทั้งผมด้วย ระหว่างที่ผมคิดเรื่องแบบบ้านว่าจะเอาแบบไหนนั้น ผมก็ลองมองหาผู้รับเหมาไปด้วย บางคนก็อาจจะให้บริษัทรับสร้างบ้าน สร้างบางคนก็ช่างในรูปบุคคลธรรมดา ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่น หากเราใช้บริษัทรับสร้างบ้าน เราก็อาจจะได้ความเชื่อมั่นประมาณนึงว่า เฮ้ย! ถ้าเป็นบริษัทมันก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่าบุคคลธรรมดา
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจากการทำงานของผม ผมก็เห็นหลายๆ คน ประสบปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานหรือได้บ้านคุณภาพไม่ดีมาหลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้านที่ไม่ได้คุณภาพเอง ช่างทิ้งงาน เวลามีปัญหาต้องซ่อมแซมตามตัวยาก เพราะฉะนั้นในความคิดเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมว่าหากพิจารณาเพียงสถานะความเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดามันไม่ต่างกัน
ขอพิจารณาที่คุณภาพงาน ความรับผิดชอบต่องานเป็นอย่างไร ทิ้งงานหรือไม่ ล่าช้าเกินไปหรือเปล่า ราคา และการบริการหลังการขายเป็นอย่างไรดีกว่า อีกทั้งในแง่ของราคาค่าก่อสร้างนั้น ถ้าใช้ช่างที่เป็นพวกนิติบุคคล เช่น บริษัทต่างๆ คุณโดนแน่ๆ ราคาก่อสร้าง+กำไร(ค่าดำเนินการ)+ภาษีมูลค่าเพิ่ม (vat) แพงกว่าช่างที่เป็นบุคคลธรรมดาแน่นอนอย่างน้อยร้อยละ 7 (อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน) อิอิ แต่หากเป็นบุคคลธรรมดาอาจจะโดนแค่ค่าดำเนินการเท่านั้น
ส่วนผมแรกๆ ก็ดูบริษัทรับสร้างบ้านนี่แหละ ก็เราไม่เคยปลูกสร้างบ้านนี่หว่า เลยไม่ค่อยรู้จักใคร แต่พอเข้าไปดูแล้วยังคงรับไม่ค่อยได้ เนื่องจากวัสดุกับราคาที่ต้องจ่าย และเสียง comment ต่างๆ จากใน social ที่เคยอ่านมา ผมก็เลยลองดูผู้รับเหมาที่เป็นระดับท้องถิ่น
โดยใช้วิธีเวลาขับรถผ่านตามบ้านที่กำลังสร้างอยู่ ผมก็ลองเข้าไปคุยกับผู้รับเหมา และเจ้าของบ้านนั้นดู ก็ได้มา2-3 ราย แต่ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ เนื่องจากยังไม่เคยเห็นประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาของผู้รับเหมารายนั้นๆ เห็นแต่ขณะที่สร้างประกอบกับยังไม่ค่อยไว้ใจเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมา
จนมีวันหนึ่งใน Facebook ของผมมันก็โผล่ชื่อชื่อผู้รับเหมารายหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นคนแถวๆ ละแวกบ้าน เลยลองแอบเข้าไปส่องผลงานที่ผ่านมาจาก Facebook และถามคนที่รู้จักแล้วจนคิดว่าน่าจะพอใช้ได้เลยให้แม่ไปขอเบอร์โทรศัพท์มาจากคนรู้จัก ตอนแรกก็หวั่นๆ ว่าผู้รับเหมาเจ้านี้จะรับปลูกสร้างบ้านให้หรือเปล่า เพราะดูจากผลงานที่ผ่านมาของผู้รับเหมาเจ้านี้แล้วมีแต่รับสร้างแล้วก็ตกแต่งบ้านราคาหลักสิบล้านขึ้นไปไม่เคยเห็นรับปลูกบ้านหลังเล็กๆ มาก่อนเลย
เหตุที่กังวลนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมได้ดูใน website บางที่แล้ว เขาจะมีราคาขั้นต่ำที่รับสร้างด้วย แต่ก็เอาวะ ลองโทรไปคุยสักครั้งไม่เสียหายไร ผลงานเก่าของผู้รับเหมา (ขออนุญาตเจ้าของบ้านและเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ) ประมาณนี้ ไฮโซๆ ทั้งนั้น
เมื่อผู้รับเหมามาดูทีดินและได้พูดคุยกันคร่าวๆ แล้วก็สอบถามความต้องการของผมว่า ผมจะปลูกบ้านกี่ชั้น แบบประมาณไหน งบมีเท่าไหร่ ผมก็บอกแกไปว่า ผมแค่อยากขยายครอบครัวออกไป สร้างเล็กๆ แค่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในครอบครัวเราเอง
เพราะฉะนั้น ปลูกเป็นบ้านชั้นเดียวเอา 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องทำงานเอาไว้สำหรับหอบงานมาทำที่บ้านบ้าง ไว้ต้อนรับลูกค้าบ้าง แต่มีข้อแม้ว่า ห้องทำงานนั้นต้องแยกออกมาเป็นสัดส่วนจากพื้นที่พักผ่อนส่วนตัว เนื่องจากผมและแฟนเป็นทนายความด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น ลูกค้าของผมนั้นมีหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่ หมอ พ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้าน ชาวสวน โจรผู้ร้าย พ่อค้ายาเสพติด คนเสพยา นักการพนัน สารพัด
ดังนั้น แยกพื้นที่ทำงานกับพื้นที่ส่วนตัวกันไว้ก่อนดีกว่า ขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่กิน 100 ตารางเมตร งบไม่เกิน 13,000 บาท/ตารางเมตร วัสดุขอกลางๆ ค่อนไปทางดี งบประมาณในการก่อสร้างนี่บอกไปเลยครับไม่ต้องอาย บอกน้อยๆ ไว้ก่อนมันบานปลายออกมาเองครับ แต่ต้องเอาที่พอเป็นไปได้ด้วยนะครับ แหล่งที่มาของเงินที่จะปลูกบ้านนั้น ผมกู้ธนาคารทั้งหมด
โดยทางผู้รับเหมาเห็นว่า ผมยังเป็นเด็ก เงินทองที่เก็บไว้ก็ไม่มาก จึงตกลงกันว่า หากตกลงปลูกบ้าน ทางฝ่ายผู้รับเหมาจะสำรองเงินค่าก่อสร้างไปก่อน เมื่อส่งงวดงานกับทางธนาคารแล้วค่อยจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมา ผมก็ว่าก็ดีจะได้ป้องกันความเสียหายเรื่องผู้รับเหมาทิ้งงาน ความล่าช้าจากอุบัติเหตุทางการเงินของผู้ว่าจ้างไปในตัวด้วย ซึ่งก็ดีสำหรับผู้ว่าจ้าง
หลังจากนั้น ผมก็ให้ทางผู้รับเหมาแนะนำสถาปนิกมาให้ เนื่องจากผมยังหาสถาปนิกไม่ได้ ก็เป็นอันว่า ผมได้ทั้งผู้รับเหมาและสถาปนิกแล้ว
หลังจากที่ให้ทางผู้รับเหมาแนะนำสถาปนิกมาให้ ผมก็จัดการติดต่อไปหาสถาปนิกพูดคุยตกลงเรื่องแบบกันเอง ตอนแรกก็แอบหวั่นใจเรื่องราคาค่าออกแบบ กลัวแพง แต่ก็เกรงใจไม่กล้าถาม แต่ในใจพอเดาๆ ได้บ้างแหละว่า ราคามาตรฐานของชาวบ้านคิดกันยังไงกี่เปอร์เซ็นต์ อันนี้ไม่ดีนะครับ ผมว่าเราควรคุยให้ชัดเจนไปเลย จะได้ตัดสินใจได้ว่าจะเอาแบบสำเร็จหรือให้ช่างเขียนแบบให้ใหม่ สำหรับคนที่งบน้อยมากๆ)
ค่าออกแบบบ้านนี่ ต้องคุยกันให้ดีนะครับว่า คิดยังไง จ่ายกันเมื่อไหร่ ราคาที่จ่ายได้อะไรบ้าง แก้ไขแบบได้กี่ครั้ง แต่ละคนคิดไม่เท่ากันอันนี้ผมไม่รู้ราคาเลยไม่กล้าบอก (บางคนอาจจะมองว่า เฮ้ย!! แค่แบบไม่กี่แผ่นทำไมแพงจังตั้งหลายหมื่น หลายแสน แต่อย่าลืมนะครับว่า กว่าเขาจะส่งแบบให้เราได้นั้น เขาต้องเรียน ต้องฝึกงาน ต้องไปสอบให้ได้ใบอนุญาต ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มา แถมมันมากับความรับผิดชอบต่างๆ
อันนี้แอบเอาความรู้สึกส่วนตัวมารวมด้วย เนื่องจากผมทำงานสายวิชาชีพเหมือนกัน เวลาผมเรียกเงินค่าทำงานผมก็จะรวมค่าใช้จ่าย (พวกค่ารถ ค่าเสี่ยงภัยเดินทาง ค่ากระดาษ ค่าถ่ายเอกสารประกอบ ค่าอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ) + ค่าวิชาชีพ + กำไร เข้าไปด้วย ชาวบ้านพอได้ยินราคาก็ร้อง โอ้โห! อะไรวะเมิงพิมพ์กระดาษมาไม่กี่แผ่นทำไมแพงจัง แหม!!! ถ้าอย่างนั้นพี่ ไปทำเองเลยสิครับมาจ้างผมทำไม จบๆ เรื่องนี้ เดี๋ยวยาวครับ
แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง
หลังจากนั้นทางฝ่ายสถาปนิก ก็ให้ผมลองส่งแบบบ้านที่อยากได้มาให้ดูเรื่อยๆ ผมก็หาในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ส่งให้แกไป และนอกจากนี้ผมก็ขอให้แกมาดูที่ดินที่จะสร้างซะเลย เนื่องจากความเชื่อโดยส่วนตัวผมแล้ว เห็นว่าผู้ออกแบบจะออกแบบบ้านได้ตรงกับความต้องการของเรา จะต้องรู้จักตัวเรา และต้องเห็นสภาพที่ดินเสียก่อนที่จะก่อสร้างจริงๆ เสียก่อน เพื่อจะได้ดูภูมิอากาศ ทิศทางลม สภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านที่จะสร้างว่ามันมีอะไรล้อมรอบบ้านเราบ้าง
ปัญหารอบๆ บ้านที่อาจจะมีขึ้นได้ในอนาคต ได้รู้จักตัวตนเจ้าของบ้านว่าเป็นอย่างไร ทำอาชีพไหน ใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งผมว่ามันมีผลต่อลักษณะของบ้านที่จะออกมาด้วย เมื่อสถาปนิกมาดูที่ดินแล้ว ก็มาวัดสอบเขตที่ดินคร่าวๆ สอบถามเราว่าอยากได้แบบไหน สไตล์ยังไง ขนาดพื้นที่ใช้สอยมากน้อยเท่าไหร่ จำนวนห้องนอนกี่ห้อง
ก็ร่ายกันไปแต่ที่ผมขอเน้นๆ คือ ประตูห้องต่างๆ ขอให้ขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานปกตินิดหน่อย จากเดิมขนาดประตูห้องนอนขนาดปกติกว้างประมาณ 80 เซนติเมตร ผมขอก็เป็น 90 เซนติเมตร ประตูห้องน้ำจากปกติกว้าง 70 เซนฯ เป็น 80 เซนฯ เนื่องจากจะเผื่อไว้สำหรับตอนที่มีอายุมากขึ้น เผื่อนั่งรถเข็น และความสูงจากพื้นบ้านถึงท้องฝ้าขอสูง 3.20 เมตร จะได้โล่งๆ โปร่งๆ เนื่องจากมันเป็นชั้นเดียวจะได้ดูโปร่ง โล่ง อากาศจะได้หมุนเวียนได้ดี และขอยกความสูงจากพื้นถนนสูงๆ ไว้ก่อนกลัวน้ำท่วม
หมายเหตุ เรื่องความสูงภายในตัวบ้านเวลาบอกผู้ออกแบบ ต้องพูดให้ชัดเจน เพราะมีการวัดความสูง 2 แบบ คือวัดจากพื้นถึงท้องคานไม่รวมตีฝ้าเพดาน หากรวมแล้วก็จะเตี้ยลงมาอีกนิดหน่อย และแบบวัดจากพื้นถึงท้องฝ้า เวลาออกแบบจริงก็จะเผื่อความสูงของคานขึ้นไปอีก ถ้าไม่ระบุให้ชัดเจนอาจจะได้ความสูงไม่ตรงตามความต้องการก็เป็นได้ครับ
หลังจากนั้น ผมก็ส่งแบบบ้านอ้างอิงไปให้สถาปนิกแล้วประมาณ 2 วัน สถาปนิกก็ส่งแปลนการจัดวางพื้นที่บ้านคร่าวๆ มาให้ดูก่อนว่า วางแปลนห้องต่างๆ แบบนี้ชอบหรือไม่ ก็แก้ๆ กันไปมา จนมาลงตัวที่แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงจากระดับ +00 อยู่ที่ 1 เมตร (ระดับ +00 นี่อยู่สูงจากถนนอีกประมาณ 80 เซนติเมตรรวมๆ แล้วจากถนนถึงพื้นบ้านก็เกือบๆ 1.80 เมตร) จำนวน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องทานข้าว ห้องทำงาน และห้องนั่งเล่น อย่างละห้อง พื้นที่ใช้สอยประมาณ 144 ตารางเมตร วางแนวบ้านหันด้านหน้าไปทางบ้านเดิม หันด้านข้างออกถนน เดิมผมกะว่าจะทุบรั้วตรงกลางระหว่างบ้านพ่อแม่กับบ้านผมออก ที่ดินจะได้รวมกันเป็นผืนเดียวกันและดูใหญ่ขึ้นด้วยแบบนี้
แบบแปลนเดิม
12
เมื่อพึงพอใจกับการจัดวางพื้นที่ใช้สอยแล้ว ขั้นตอนต่อไป สถาปนิกก็เริ่มลงมือออกแบบรูปด้านข้าง ด้านหน้า ด้านหลัง หลังคาบ้าน ระหว่างนี้ ทางผู้รับเหมาก็อาศัยประสบการณ์เข้ามาช่วยผมออกแบบร่วมกับสถาปนิกด้วย
เนื่องจากเห็นว่า ความสวยของบ้านที่ผมส่งไปยังไม่ลงตัว เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็ประเมินราคาค่าก่อสร้าวคร่าวๆ จากพื้นที่ใช้สอยและวัสดุออกมาอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท บานปลายออกมาจากที่ตั้งใจไว้ตอนแรกมากพอสมควร ใช้เวลาไม่นานมาก็ได้แบบ 3D รูปด้านต่างๆ ของบ้านออกมาประมาณนี้
หากมองจากรูปแล้วจะเห็นว่า บริเวณด้านขวามือของบ้าน จะมีแท่นปูนออกมา อันนั้นเป็นบ่อใต้ดินสำหรับไว้เก็บน้ำสำรอง เป็นของเดิมไม่ได้ทุบออกไป พ่อบอกว่าทำมาแพงไม่ยอมให้ทุบก็เลยต้องเอาไว้อย่างนี้ มีหน้าต่างรอบบ้าน และความสูงจากพื้นบ้านยันฝ้า สูง 3.20 เมตร
เนื่องจากต้องการให้สูงโปร่ง อากาศจะได้ถ่ายเทสะดวก ประกอบกับกลัวแสงสว่างน้อย (ข้อเสีย คือ เปลืองหลอดไฟ กับเวลาจะทำตู้ built in ทีราคาจะแพงกว่ามาตรฐานครับ) ส่วนใต้บ้านปล่อยโล่งๆ ไม่ถมดิน และเจาะช่องไว้สำหรับเข้าไปบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าร้อยท่อ กับระบบสุขาภิบาล ที่ซ่อนไว้ใต้บ้าน
หลังจากนั้น สถาปนิกก็ส่งแบบไปยังทีมวิศวกรเพื่อคำนวณโครงสร้าง ระบบสุขาภิบาล จนได้แบบแปลนก่อสร้างอย่างเป็นทางการออกมาสำหรับใช้ขออนุญาตต่อหน่วยงานราชการและประกอบการยื่นขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน รวมระยะเวลาตั้งแต่หาผู้รับเหมามาจนถึงขั้นตอนนี้ผมใช้เวลาไปประมาณ 3 เดือน (ช้าตรงผมแก้แบบจนเละ นี่แหละครับ 555)
แล้วจึงค่อยจ่ายค่าออกแบบกับค่าเขียนแบบให้ทางสถาปนิกกับวิศวกรไปราคาที่ผมจ่ายไปหากเทียบกับความพอใจที่ผมได้รับ เทียบกับราคาค่าออกแบบตามท้องตลาดแล้วถือว่า พอรับได้ครับ
เมื่อได้แบบแปลนที่เป็นรูปเล่มแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีเงินพร้อมก็ไม่สามารถปลูกสร้างได้ทันทีนะครับ ต้องขออนุญาตกับทางราชการคือ สำนักงานเขตหรือเทศบาลที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่ก่อนนะครับ
เอกสารประกอบการยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ใบเปลี่ยนชื่อสกุล(ถ้ามี) สำเนาทะเบียนสมรส (เตรียมไว้เถอะไม่ใช้ก็เก็บกลับบ้าน) สำเนาโฉนดที่ดิน กรณีที่ดินไม่ใช่ของผู้ขอแบบ ต้องแนบสำเนาบัตร+ทะเบียนบ้าน+หนังสือยินยอมคู่สมรส, หนังสือสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาเช่าที่ดินนั้นๆ ด้วย, แบบแปลน สำเนาบัตรสถาปนิก วิศวกร หนังสือยินยอมให้สร้างบ้านชิดแนวรั้ว
เนื่องจากผมวางแปลนบ้านชิดขอบที่ดินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เลยต้องให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงเซ็นยินยอมก่อน แล้วไปยื่นที่สำนักงานเขตหรือเทศบาลท้องที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่
เบื้องต้น เมื่อผมไปยื่นเอกสาร ณ สำนักงานเทศบาลท้องที่แล้วก็ได้รับคำตอบว่า รอคิวอ่านแบบประมาณ 1 เดือนนะคะ ผมก็ว่า ทำไมนานจังวะ !!!
จึงแจ้งผู้รับเหมาให้ช่วยประสานงานให้ด้วยเพื่อความรวดเร็ว (นี่ก็คือข้อดีอีกอย่างของผู้รับเหมาท้องถิ่น) สุดท้าย ผมใช้เวลาในการขอใบอนุญาตทั้งสิ้นไม่เกิน 2 สัปดาห์ เสียค่าใช้จ่ายไป 120 บาท เป็นค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต (ส่วนค่าน้ำร้อน น้ำชาด้วย ไม่เสียครับ) หน้าตาใบอนุญาตประมาณนี้สร้างบ้าน-17
ระหว่างที่รอทางราชการออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ ทางผู้รับเหมาก็ทำ BOQ สำหรับกำหนดปริมาณงานก่อสร้าง กำหนดรายการ ขนาดของวัสดุ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ประกอบการยื่นขอกู้เงินกับสถาบันการเงินอีกด้วยนอกจากนี้ ส่วนในฐานะผู้ว่าจ้างอย่างเราก็ยังจำเป็นต้องรู้และทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยเพื่อจะได้รู้ว่า ค่าก่อสร้างที่คำนวณออกมานั้น เมื่อเทียบกับวัสดุ ค่าแรง กำไร แล้ว แพงไปหรือไม่อย่างไร
และหากมีปริมาณงานก่อสร้างที่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น เราก็จะได้กำหนดราคาเพิ่มหรือลดได้ถูกต้อง อีกอย่าง และหากภายหลังเรามีปัญหากับผู้รับเหมาก่อสร้างเราก็จะได้ใช้ตัวนี้ในการคิดค่าเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งบางคนอาจจะให้ทีมวิศวกร สถาปนิก คำนวณ BOQ เฉพาะปริมาณงาน และวัสดุออกมา แล้วนำไปให้ผู้รับเหมาหลายๆ เจ้า ตีราคาต่างหากแล้วนำมาเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจว่าจ้างก็ได้
ซึ่งบางเจ้าอาจจะทำมาไม่ละเอียดเท่าไหร่ แต่บางเจ้าก็ระบุละเอียดลงไปเลยว่า ใช้วัสดุยี่ห้ออะไร รุ่นไหน มีภาพถ่ายกำกับด้วยผมว่าอันนี้ละเอียดดีมาก ชัดเจนที่สุด เจ้าของบ้านจะได้รู้ว่าจะได้อะไรบ้างกับราคาที่เสียไป ส่วนผมให้ผู้รับเหมาทำและตีราคามา แล้วเอาพื้นที่ใช้สอยหารกับราคา ออกมาเป็นราคาต่อตารางเมตรแล้วเทียบกับวัสดุครับ คิดแบบคนขี้เกียจ ไม่มีความรู้ในส่วนนี้ด้วยครับ