จุดเริ่มต้นกำเนิดของหินชนิดต่างๆอะไรบ้าง ปี2022
03 มีนาคม 2565
ผู้ชม 150 ผู้ชม
หินแกรนิต คืออะไร
ข้ามผ่านกาลเวลามานับหลายพันปี จนกลายเป็นหนึ่งในวัสดุหลักที่ใช้สร้างสถานที่เก็บทรัพย์สมบัติและเป็นมหาสุสานของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ ณ มหาพีระมิดแห่งกีซ่า หนึ่งใน “เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก” แสดงให้เห็นว่าหินแกรนิตมีทั้งความสวยงามและความแข็งแกร่ง ที่สามารถรักษาสภาพให้คงอยู่มาจนถึงยุคปัจจุบัน
หินแกรนิตมักถูกนำมาใช้เป็นวัสดุหลักเพื่อสร้างงานสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งภายใน ภายนอก และอาคารสิ่งปลูกสร้าง ปัจจุบันหินแกรนิตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในบ้าน ทั้งในรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าจากหินธรรมดาๆ เมื่อนำมาแปรรูปจะกลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่มักจะปรากฏอยู่รอบตัวของเราเสมอ แล้วคุณเคยทราบไหมว่าเรื่องราวของหินที่แสนธรรมดาแต่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคุณอย่างหินแกรนิตนั้น มีความเป็นมาอย่างไร และอะไรที่ทำให้หินชนิดนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
จุดเริ่มต้น
จุดเริ่มต้นของหินแกรนิตมาจากหินอัคนี หินที่เกิดจากการหลอมเหลวของลาวาที่เย็นตัวลง และเกิดการตกผลึกภายใต้แรงดันมหาศาลใต้เปลือกโลก จนเกิดหินที่ประกอบด้วยผลึกแร่ขนาดใหญ่อย่างหินแกรนิตขึ้น องค์ประกอบของแร่ภายในหินแกรนิต ประกอบไปด้วย แร่ควอตซ์ ในปริมาณขั้นต่ำอยู่ที่ 20% และแร่เฟลด์สปาร์ 35% ในขณะที่สัดส่วนที่เหลือสามารถเกิดจากแร่ชนิดอื่น เช่น แร่ไมกา แอมฟิโบล ฮอร์นเบลนด์ หรือไพรอกซีน เป็นต้น จากกระบวนการเย็นตัวของแร่ธาตุเหล่านี้ เป็นเบื้องหลังที่ทำให้หินแกรนิตกลายเป็นหินที่มีความแข็งแรงและคงทน
เราสามารถพบหินแกรนิตได้จากทั่วทุกมุมโลก โดยบางประเทศสามารถพบหินแกรนิตได้ในหลายแห่ง จึงมีตัวเลือกในการนำมาใช้งานได้มากขึ้น เช่น ประเทศอิตาลีและจีน สามารถพบหินแกรนิตที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างความพิเศษและความน่าสนใจที่แต่งตากกันในแต่ละพื้นที่ของภูมิภาคต่างๆ
สุทนทรียศาสตร์ “ความงามของหินแกรนิต”
สีของหินแกรนิตเกิดจากแร่ธาตุต่างๆ ที่พบภายในหิน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณและสัดส่วนของแร่ธาตุที่ประกอบอยู่ภายในหิน ยกตัวอย่างเช่น หากมีแร่โพแทสเซียมเฟลด์สปาร์เป็นองค์ประกอบ จะทำให้เนื้อหินแกรนิตเป็นสีแดงหรือสีชมพู
ในขณะที่แร่ควอตซ์จะทำให้เนื้อหินเป็นสีขาวหรือสีเทา
สำหรับสีอื่นๆ เช่น สีเหลืองเกิดจากแร่มัสโคไวท์ สีดำและสีเขียวเกิดจากแร่แอมฟิโบล และสีน้ำตาลเกิดจากแร่ไบโอไทต์ นอกจากนี้ในส่วนของสีน้ำตาล เทาเข้มและลายแต้มที่แวววาวนั้น เกิดจากแร่ไมกาเป็นส่วนประกอบภายในหิน
หินแกรนิตสามารถแบ่งลวดลายได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ลายแต้มและลายเส้น โดยลายแต้มเกิดจากหินแกรนิตที่ใช้เวลาในการเย็นตัวและระบายความร้อนนานกว่าในกระบวนการตกผลึก ลวดลายของมันจึงเหมือนการนำสีสันมาแต้มบนตัวหิน เป็นจุดเล็กบ้างหรือเป็นลายเม็ดหินขนาดใหญ่บ้าง ซึ่งเป็นลวดลายที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในขณะที่หินแกรนิตที่มีพื้นผิวเป็นลายเส้นนั้น ลวดลายที่ปรากฏอยู่รอบเนื้อหิน มีรูปแบบและแสดงถึงอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกอิสระมากกว่าหินแกรนิตลายแต้ม
การนำมาประยุกต์ใช้
หินแกรนิตเป็นหินที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วน และทนต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะสำหรับการนำมาใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างอาคาร พื้น เสาหิน กำแพง และยังสามารถนำมาใช้งานภายในบ้าน เพื่อให้เหล่าคนรักบ้านได้เพลิดเพลินกับคุณสมบัติต่างๆ ทั้งการนำมาปูบริเวณพื้น ก็สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ตลอดจนทนทานต่อรอยขีดข่วนและการสัมผัสกับกรดต่างๆ สำหรับการทำครัว หากคุณตัดสินใจเลือกหินแกรนิตมาตกแต่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านของคุณ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณผนัง พื้น หรือท็อปเคาน์เตอร์ครัว ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน พิสูจน์แล้วจากงานสถาปัตยกรรม และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ใช้หินแกรนิตเป็นวัสดุหลัก ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็ยังคงทนและได้รับการยอมรับอยู่เสมอ
หินสังเคราะห์ คืออะไร
Engineered Stone เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ หินเทียม หรือ หินสังเคราะห์ ถูกนำเข้าสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1960 ประกอบไปด้วยเศษของหินอ่อน ควอร์ตไซต์ และแกรนิต ผสมกับโพลีเมอร์และเรซิ่น หรือซีเมนต์ เพื่อสร้างหินสังเคราะห์เสมือนจริงที่สามารถกำหนดสี ลาย และความหนาแน่นของหินแต่ละแผ่นได้
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หินสังเคราะห์จึงได้รับการพัฒนาให้มีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักเบา แต่มีราคาที่ต่ำกว่าหินธรรมชาติ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรและเป็นที่นิยมในตลาดอย่างแพร่หลาย
หินควอทซ์สังเคราะห์
หินควอทซ์ธรรมชาติไม่ค่อยปรากฏในรูปแบบของบล็อกหินหนาและใหญ่มากนัก ด้วยขนาดหินที่เล็กจึงไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งในบริเวณพื้นที่ขนาดใหญ่
จึงนิยมแปรรูปไปเป็นหินสังเคราะห์ในอัตราส่วนของหินควอทซ์ 90% - 94% ผสมด้วยเรซิ่นและสีสังเคราะห์ในอัตราส่วน 6% - 10% ซึ่งให้ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจ คือ น้ำหนักเบา มีความทนทาน สามารถกำหนดรูปแบบของสีและลายได้
ด้วยคุณสมบัติที่มีความทนทาน กันรอยขีดข่วน ทำความสะอาดง่าย และรูพรุนที่น้อยกว่าหินธรรมชาติ หินควอทซ์สังเคราะห์จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สูสีกับการเลือกใช้หินธรรมชาติ ซึ่งนิยมนำไปติดตั้งในรูปแบบของท็อปเคาน์เตอร์ครัว อย่างไรก็ตามการติดตั้งในบริเวณที่โดนความร้อนสูงกว่า 150 องศาเซลเซียส สามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ เนื่องจากหินควอทซ์สังเคราะห์มีส่วนผสมของเรซิ่นและโพลีเมอร์ การใช้ที่วางรองสำหรับของร้อนควบคู่ไปด้วยจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งความสวยงามของหินในบริเวณที่ติดตั้ง
หินอ่อนเทียม
หินอ่อนเทียมนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรและมีราคาที่ต่ำกว่าหินอ่อนธรรมชาติ แต่ยังสามารถให้ความงามได้เสมือนหินอ่อนธรรมชาติ ประกอบด้วยเศษของหินอ่อน 75% - 90% และ 10% - 24% ของเรซิ่น โพลีเมอร์ และสีสังเคราะห์ เพื่อให้ได้ลวดลายและสีที่ใกล้เคียงกับหินอ่อนธรรมชาติมากที่สุด
หินอ่อนเทียมสามารถให้ลวดลายที่เสมือนจริงในราคาที่ต่ำกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแรงที่มีไม่มากนักและอัตราการซึมน้ำที่ค่อนข้างสูง จึงมีข้อจำกัดด้านการใช้งานอยู่ไม่น้อย การติดตั้งภายในจะเหมาะกว่าการติดตั้งภายนอกที่ต้องโดนแดดโดนฝน เนื่องจากส่วนผสมของเรซิ่น โพลีเมอร์ ที่ไม่ทนความร้อน และอัตราการซึมน้ำที่ค่อนข้างสูงจึงไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งกลางแจ้ง
หินคริสตัลคอมโพสิต
หินคริสตัลคอมโพสิต หรือ Crystal Composite Stone มีส่วนประกอบของ ควอทซ์ แก้ว และซิลิก้า จึงทำให้หินคริสตัลคอมโพสิตเป็นหินสังเคราะห์ที่ไม่มีรูพรุน ไม่ซึมน้ำ เกิดรอยขีดข่วนได้ยาก และทำความสะอาดง่าย
ด้วยความทนทาน หินคริสตัลคอมโพสิตจึงสามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งภายในหรือภายนอก ทั้งยังสามารถใช้เป็นท็อปเคาน์เตอร์และท็อปโต๊ะได้ หรือจะใช้ในอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานสูง เช่น การติดตั้งในโรงแรม สปา หรือห้างสรรพสินค้าก็ได้เช่นกัน เพราะนอกจากความทนทานแล้วหินชนิดนี้ยังให้ความสวยงามด้วยพื้นผิวที่เงาและรูปลักษณ์ที่ดูหรูหราสะอาดตาอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของหินสังเคราะห์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน อีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่กำลังมองหาหินราคาประหยัดหรือมีงบประมาณที่จำกัด ด้วยราคาที่ต่ำกว่าและลวดลายมากมายที่มีให้เลือกสรร หินสังเคราะห์จึงเป็นอีกทางเลือกในการออกแบบและติดตั้ง ถึงแม้จะมีข้อจำกัดในการใช้งานบ้าง แต่หากติดตั้งในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีการดูแลรักษาที่ถูกต้องแล้ว ก็สามารถมีพื้นที่สวยๆ ที่ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติเสมือนกับหินธรรมชาติได้เช่นกัน
หินอ่อน คืออะไร?
จากความชื่นชอบของผู้คนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือศิลปินที่มีชื่อเสียง ตลอดไปจนถึงเหล่าคนรักการตกแต่งบ้านในปัจจุบัน ทำให้หินอ่อนกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการนำมาตกแต่งเพื่อสร้างความสวยงามให้แก่สถานที่ต่างๆ เนื่องจากเป็นหินที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา จึงมีความสวยและสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาตัวเปรียบได้ยาก เมื่อคุณลองสังเกตจะพบว่า หินอ่อนแต่ละชนิดต่างมีเรื่องราวซ่อนอยู่ภายใน สีสันและลวดลายที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะมองมุมไหนลวดลายเหล่านี้ยังคงความสวยงามและได้รับความนิยมจากผู้คนตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนใช้เวลาในการชื่นชมความงามของหินที่เกิดจากธรรมชาตินี้ ไม่ว่าจะนำไปตกแต่งภายในบ้าน พิพิธภัณฑ์ หรือจัดแสดงในงานนิทรรศการ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เรื่องราวความเป็นมาของหินอ่อน สัญลักษณ์แห่งความสวยงามและความคลาสสิค ที่ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปก็ไม่อาจทำให้ความงามเหล่านี้จางหายไป
จุดเริ่มต้น
หินอ่อนมีจุดเริ่มต้นมาจากหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเน็ต ที่มีผลึกแร่คัลไซต์เป็นส่วนประกอบหลัก เกิดการทับถมกันเป็นชั้น ประกอบกับความร้อนและแรงดันที่เกิดจากแมกมาของภูเขาไฟใต้ทะเล และปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยาอันหลากหลาย จนเกิดการประสานกันของผลึกภายในตัวหิน ทำให้หินมีลวดลายที่สวยงาม ประกอบด้วยเส้นสีสันต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หินอ่อนจึงเป็นหินที่สง่างามและได้รับความนิยมทั่วโลก ประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านความสวยงาม และความประณีตของหินอ่อน ได้แก่ ประเทศอิตาลี สเปน และกรีซ โดยใช้ชื่อเรียกหินอ่อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป เช่น หินอ่อนวอลากัส (Volakas) คือ หินอ่อนสีขาวธรรมชาติผสานลายเส้นสีเทาที่ชัดเจนของประเทศกรีซ
หินอ่อนคาร์รารา (Carrara) ของประเทศอิตาลี
หินอ่อนครีมมาเฟล (Crema Marfil) ของประเทศสเปน
สุทนทรียศาสตร์ “ความงามของหินอ่อน”
สีสันต่างๆ ที่ปรากฏบนหินอ่อน ทั้งสีแดง ฟ้า เขียว น้ำตาล ดำและขาว เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของเนื้อหิน โดยหินอ่อนสีขาวเป็นหินอ่อนที่ถือว่ามีความบริสุทธิ์มากที่สุด เนื่องจากแทบไม่มีแร่อื่นเจือปนอยู่เลย เมื่อมีแร่อื่นเจือปนอยู่ในหินปูนระหว่างการตกผลึก จะทำให้เกิดลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงามและนุ่มนวล ที่สำคัญแร่ต่างๆ เหล่านี้ ยังสร้างสีสันให้กับหินอ่อนอีกด้วย เช่น แร่เหล็กออกไซด์ทำให้หินอ่อนกลายเป็นสีชมพู แดง หรือน้ำตาล ในขณะที่แร่ไมกา ควอตซ์ และเหล็กออกไซด์ในอัตราส่วนที่แตกต่าง จะทำให้หินอ่อนกลายเป็นสีเทา ขาว หรือแดงเข้ม อย่างไรก็ตามความบริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพ ความงาม หรือราคาของหินอ่อนเสมอไป สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือลวดลายและสีสันที่แต่งแต้มบนตัวหินอ่อน ทำให้มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปแต่ความงามของหินอ่อนยังคงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนทั่วโลกมาหลายศตวรรษ
การนำมาประยุกต์ใช้
หินอ่อนถูกนำมาใช้โดยเหล่าศิลปิน สถาปนิก และผู้คนมากมายทั่วโลก เพื่อแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะของพวกเขา งานประติมากรรมเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่นิยมนำหินอ่อนมาแกะสลักโดยเฉพาะหินอ่อนสีขาว “หินอ่อนคาร์รารา” ผลงานที่ออกมาจะมีความนุ่มนวลและคงทน เนื่องจากโครงสร้างและองค์ประกอบของหินอ่อนสีขาว มีปริมาณผลึกแร่คัลไซต์ค่อนข้างต่ำ แสงจึงสามารถผ่านตัวหินได้เล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความมันเงาอันเป็นเอกลักษณ์ เปรียบเสมือนมอบชีวิตให้ตัวงานศิลป
สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย ต่างนำหินอ่อนเข้ามาใช้ในการตกแต่ง และสถานที่บางแห่งยังนำหินอ่อนมาก่อสร้างเป็นโครงสร้างทั้งหมด ดังเช่น อนุสาวรีย์วอชิงตัน
นอกจากหินอ่อนจะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรมต่างๆ ได้แล้ว หินอ่อนยังสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในบ้านของคุณได้เช่นกัน โดยยังคงความคลาสสิค และความสง่างามที่ลงตัวไว้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเคาน์เตอร์ครัวสำหรับคนที่รักการทำขนม การนำหินอ่อนมาตกแต่งภายในครัวจะให้ความรู้สึกสบาย และสะอาดตาแก่ผู้ใช้งาน สร้างบรรยากาศในการทำขนมให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในการตกแต่งอ่างล้างจาน พื้น ฝาผนัง บันได และพื้นที่อื่นๆ ภายในบ้าน ก็สามารถนำหินอ่อนมาใช้ได้เช่นกัน สร้างเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ และความน่าหลงใหลให้ทุกพื้นที่ภายในบ้าน แล้วคุณจะพบว่าบ้านของคุณน่าอยู่ไม่เหมือนใครหินตกแต่งสวนเชียงราย