4 เรื่องต้องมีเมื่อต่อเติมบ้าน
24 กุมภาพันธ์ 2565
ผู้ชม 84 ผู้ชม
4 เรื่องต้องมีเมื่อต่อเติมบ้าน
1. มีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
สำหรับการต่อเติมบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้าน 1 ชั้น 2 ชั้น หรือมากกว่านั้น หากดำเนินการในข้อต่างๆ ดังนี้ จะต้องมีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน
• การต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่ครอบคลุมเกิน 5 เมตร
• การลด-เพิ่ม จำนวนเสา หรือคาน
• การต่อเติมที่มีความเปลี่ยนแปลงของวัสดุ ขนาด ที่แตกต่างไปจากของเดิม
• การต่อเติมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักบ้านที่เพิ่มมากขึ้นจากการคำนวนฐานรับน้ำหนัก
2. มีสถาปนิกและวิศวกรควบคุมการดำเนินการต่อเติม
การขออนุญาตต่อเติมบ้านที่ต้องยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าพนักงานท้องถิ่นนั้น ต้องมีรายละเอียดของแบบแปลนที่จะใช้ในการต่อเติมที่ได้รับการรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบ รวมถึงวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง
หากเป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพื้น หลังคา เสา จะต้องมีการคำนวนเรื่องการรับน้ำหนักของฐานจากสถาปนิกหรือวิศวกรที่รับหน้าที่ก่อสร้างด้วย
3. มีระยะร่นและการเว้นที่ว่างถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนของระยะร่นที่เจ้าของบ้านควรรู้ไว้นั้นจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนของการก่อสร้างหรือต่อเติมก็ตาม โดยระยะร่นที่ควรมีเป็นดังนี้คือ
• ระยะร่นระหว่างตัวอาคารกับจุดกึ่งกลางถนนต้องมีอย่างน้อย 3 เมตร
• เว้นที่ว่างระหว่างตัวอาคารกับเขตที่ดินด้านหน้าอย่างน้อย 3 เมตร ส่วนที่ว่างด้านหลัง และด้านข้างต้องเว้นไว้อย่างน้อย 2 เมตร
• มีขอบเขตของตัวบ้านไม่เกิน 70% ของที่ดิน ซึ่งจะนับจากชั้นที่มีพื้นที่กว้างสุด
• บ้านที่มีจำนวนชั้น 1 ชั้น หรือมีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ควรเว้นระยะห่างของช่องเปิด (หน้าต่าง ช่องลม ช่องแสง) ห่างจากแนวของเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 2 เมตร แต่ถ้าเป็นผนังทึบต้องเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร
4. มีความยินยอมจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง
การต่อเติมบ้านควรดำเนินการไปอย่างไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลกระทบบ้าง เช่น เสียงดัง กลิ่น หรือฝุ่น
ดังนั้นก่อนดำเนินการต่อเติมบ้านเจ้าของบ้านควรพูดคุยขอความยินยอมพร้อมแจ้งวันเวลาให้เพื่อนบ้านรับรู้ไว้ก่อน โดยเฉพาะการต่อเติมผนังทึบที่ชิดรั้วบ้านด้านข้างจะต้องมีหนังสือยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งภายหลัง
การต่อเติม-ทุบ ผนังภายในบ้าน
ใครที่ต้องการพื้นที่ภายในบ้านที่มากขึ้น หรือมีคนใช้งานภายในบ้านน้อยกว่าจำนวนห้องที่มี ก็มักจะอยากเชื่อมต่อห้องโดยการทุบผนังออก เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในให้มากขึ้น และในทางกลับกันสำหรับคนที่คิดว่าพื้นที่ภายในบ้านนั้นโล่งกว้างต้องการกั้นห้องเพื่อการใช้งานที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น ควรคำนึงถึงการต่อเติม, ดัดแปลงดังนี้ค่ะ
เจาะผนัง : ผนังที่สามารถทำการเจาะ หรือทุบออกได้ต้องเป็นผนังที่เกิดจากการก่อ , ผนังเบา หรือผนัง Precast ที่ไม่ใช่ผนังรับน้ำหนักและมีแบบตำแหน่งการเดินท่องานระบบชัดเจน เพื่อให้ทำการเจาะแล้วงานระบบไม่เสียหายค่ะ
ต่อเติมผนัง : หากต้องการต่อเติมผนังภายในบ้านสามารถต่อเติมได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของค่ะ ถ้าต้องการกั้นห้องชั่วคราว รื้อออกได้ไม่เสียหาย แนะนำเป็นผนังโครงเบาค่ะ แต่ถ้าต้องการกั้นห้องแบบถาวร ป้องกันเสียงได้ แนะนำให้กั้นเป็นผนังก่อ เป็นต้น โดยวัสดุที่นิยมใช้ในการต่อเติมผนังได้แก่การก่ออิฐฉาบปูนนั่นเอง
ผนังชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่ก่ออิฐฉาบปูน
ผนังโครงเบา (Smart Board)
ผนังโครงเบาคือผนังที่มีโครงคร่าวติดกับแผ่นผนัง โครงคร่าวมีทั้งเป็นไม้แต่ที่นิยมใช้กันนั้นจะเป็นโครงคร่าวโลหะ (กัลวาไนซ์ , เหล็กรูปพรรณ) วัสดุแผ่นหนังเองก็มีให้เลือกใช้มากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ , ไม้อัดซีเมนต์, แผ่นยิปซั่ม หรือแผ่นไม้อัด ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป
ผนังโครงสร้างเบานั้นสามารถซ่อมแซม รื้อถอนได้ง่ายเนื่องจากมีน้ำหนักที่เบา แผ่นที่รื้อออกมาแล้วนำกลับไปใช้ใหม่ได้ และใช้เวลาในการติดตั้งน้อยค่ะ แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถใช้กับพื้นที่ที่มีน้ำขังได้ จึงไม่ควรใช้กับภายนอกด้วย ผนังโครงเบาเหมาะกับคนที่ต้องการต่อเติมกั้นห้องภายในบ้าน โดยไม่ต้องเลอะเทอะกับการผสมปูนก่ออิฐ
ผนังกระจก (Curtain wall)
เป็นผนังที่ยึดกับโครงสร้างของอาคาร โดยจะมีกรอบโครงเหล็กหรืออลูมิเนียม มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยจะใช้กระจกที่มีความหนาอย่างน้อย 6 มิลลิเมตร ควรใช้เป็นกระจกเทมเปอร์ที่แตกเป็นเม็ดข้าวโพดไม่แหลมคม ,กระจกเทมเปอร์ลามิเนตที่มีฟิล์มช่วยยึดกระจกไม่ให้ร่วงหล่นลงมา หรือกระจกฮีทสเตรงเท่น (Heat Strengthened glass หรือ H/S) ที่มีความแข็งแรงมากกว่ากระจกธรรมดา 2 เท่า ทั้งนี้ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ เนื่องจากเป็นวัสดุที่เปราะบางและอาจเกิดอันตรายได้
ผนังกระจกจะมีความสามารถการกันเสียงน้อยกว่าผนังก่อ แผ่ความร้อนได้มากกว่า เนื่องจากมีคุณสมบัติโปร่งใส แต่การกั้นห้องด้วยผนังกระจกทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง และมีแสงผ่านได้มาก เหมาะกับห้องที่ต้องการกั้นต่อเติมโดยไม่ให้ความรู้สึกคับแคบ ไม่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว, เสียงรบกวนมากนัก
ต้องของอนุญาตไหม ??
ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กำหนดว่าถ้าดัดแปลง-ต่อเติม อาคารจะต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ที่บ้านของเราตั้งอยู่ค่ะ เช่น ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ให้แจ้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดย ผ่านสำนักงานเขตกรุงเทพฯ ที่บ้านเราตั้งอยู่ หรือถ้าตั้งอยู่ที่ต่างจังหวัดก็ให้ขอ หรือแจ้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยเดินเรื่องผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดนั่นเองค่ะ
แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าดัดแปลง-ต่อเติม ?
กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นกรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตก่อสร้างไว้ 5 กรณี ซึ่งหมายความว่าถ้านอกเหนือจากนี้จะต้องขออนุญาตค่ะ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
- การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่งรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน หมายความว่า : ถ้าเพิ่ม-ลดพื้นที่มากกว่า 5 ตารางเมตร หรือมีการเพิ่มเสาหรือคาน จะต้องขออนุญาต
- การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของหลังคารวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน หมายความว่า : ถ้าเพิ่ม-ลดพื้นที่หลังคา มากกว่า 5 ตารางเมตร หรือมีการเพิ่มเสาหรือคาน จะต้องขออนุญาต
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิมหมายความว่า : ถ้าเราเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร ด้วยวัสดุ คนละชนิดกับของเดิมจะต้องขออนุญาตค่ะ
- การเปลี่ยนส่วนใดๆ ภายในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิม หรือวัสดุชนิดอื่นที่ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม หมายความว่า : ถ้าเราเปลี่ยนแปลงส่วนของอาคาร(ที่ไม่ใช่โครงสร้าง) ด้วยวัสดุอะไรก็ตามที่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10 % ต้องขออนุญาต
-การเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ส่วนใดๆ ก็ตามในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร และไม่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10% ของโครงสร้างอาคารเดิม หมายความว่า : ถ้าเรามีการ ต่อเติม เพิ่ม ลด ส่วนของอาคาร(ที่ไม่ใช่โครงสร้าง) ด้วยวัสดุอะไรก็ตามที่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10 % ต้องขออนุญาต
สัญญาก่อสร้างต้องทำอย่างไร ??
ในการว่าจ้างทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการก่อสร้างต่อเติม เจ้าของบ้าน (ผู้ว่าจ้าง) ควรร่างสัญญาด้วยตัวเองนะคะ บางคนคิดว่าไม่จำเป็นถ้าเป็นผู้รับเหมาที่รู้จักกันอยู่แล้ว แค่สัญญาตามตกลงปากเปล่าก็พอ แต่ถึงอย่างนั้นก็แนะนำว่ามีไว้ดีกว่าค่ะ ซึ่งการทำสัญญาว่าจ้างนั้นจะประกอบด้วยเอกสาร 3 อย่าง ดังนี้
สัญญาว่าจ้าง
- สัญญาควรระบุว่าผู้รับจ้างเป็นใคร ควรมีเอกสารของบริษัทหรือสำเนาบัตรประชาชนประกอบ เพื่อระบุตัวตนให้ชัดเจน
- ผู้ว่าจ้างมีจุดประสงค์อย่างไร หมายความว่าให้ทำอะไร ที่ไหน วงเงินเท่าไร รวมถึงระยะเวลาการก่อสร้างนานเท่าไร ซึ่งควรระบุเป็นวันที่ชัดเจน เป็นต้น
- กำหนดการจ่ายเงินเป็นงวดๆ และกำหนดค่าปรับถ้างานล่าช้ากว่ากำหนด โดยทั่วไปแล้วมักคิดหน่วยเป็นวันค่ะ รวมถึงควรระบุงานเพิ่ม-ลด และค่าใช้จ่ายต่างๆที่ผู้รับจ้า (ผู้รับเหมา) ต้องรับผิดชอบ